Page 48 - Psychology
P. 48
หน้ า | 45
การรับรู้ดังกล่าวย้ําให้เห็นว่าคนเราจะรับรู้ในภาพรวมมากกว่ารับรู้เป็นส่วนๆ ซึ่งรู้จักกันในนามของจิตวิทยา
เกสตัลต์ซึ่งเป็นภาษาเยอรมัน หมายถึงรูปร่างหรือรูปทรง (shape or form)
แนวทฤษฎีที่สําคัญทั้ง 3 กลุ่มเป็นรากฐานสําคัญที่ใช้ในการอธิบายพฤติกรรมมนุษย์ แต่ยังไม่มีทฤษฎี
เฉพาะใดที่สามารถอธิบายพฤติกรรมมนุษย์ได้อย่างเป็นสากลและสมบูรณ์เช่นเดียวกับทฤษฎีอะตอมในทาง
วิทยาศาสตร์ แต่ก็ได้ใช้อธิบายพฤติกรรมทางสังคมของมนุษย์และเป็นฐานในการวิจัยทางจิตวิทยาสังคมทั่วไป
ทฤษฎีทางจิตวิทยาสังคมที่ใช้อย่างแพร่หลาย
1. ทฤษฎีการเรียน (learning theories)
ทฤษฎีการเรียนรู้เป็นทฤษฎีที่มีบทบาทสําคัญสําหรับวิชาจิตวิทยามาเป็นเวลานาน หลักการสําคัญ
ของทฤษฎีนี้คือการให้ความสําคัญกับพฤติกรรมของบุคคลซึ่งเกิดจากการเรียนรู้ พฤติกรรมปัจจุบันเกิดจาก
การเรียนรู้ประสบการณ์ในอดีตและในสถานการณ์แต่ละเรื่องบุคคลจะได้เรียนรู้พฤติกรรมหนึ่งพฤติกรรมใด
ผ่านเข้ามาซ้ําแล้วซ้ําเล่าซึ่งหล่อหลอมกลายเป็นอุปนิสัย และพฤติกรรมเช่นนั้นออกมาในลักษณะเดียวกันจน
กลายเป็นความเคยชินเช่นเมื่อมีคนขอให้เราจะจับมือเขย่าเพราะเป็นสิ่งที่เราเคยผ่านการเรียนรู้ที่จะโต้ตอบ
ด้วยการยื่นมือออกไปเมื่อมีผู้ยื่นมือมาขอสัมผัส เมื่อมีใครบางคนมาพูดจาหยาบคายกับเราเราอาจตอบโต้
กลับไปอย่างหยาบคายเช่นกันหรือไม่ก็พยายามทําให้คนอื่นเหมือนเราในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอยู่กับสถานการณ์
เดิมว่าเราเคยผ่านการเรียนรู้วิถีทางเช่นใดมาในอดีต หลักการดังกล่าวเป็นหลักการที่แบนดูรา (Albert
Bandura, 1977) และคนอื่นๆนํามาใช้กับพฤติกรรมทางสังคมซึ่งเรียกว่าทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (social
learning theory)
กลวิธีที่แพร่หลายซึ่งใช้ในการเรียนรู้ มี 3 ลักษณะคือ
1. ความสัมพันธ์เชื่อมโยง (association) หรือการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค (classical
conditioning) ซึ่งสุนัขของฟาฟลอฟ (Pavlov’s dogs) นักจิตวิทยาชาวรัสเซียเรียนรู้ที่จะน้ําลายไหลเมื่อได้
ยินเสียงกระดิ่ง เพราะจะได้กินอาหารทุกครั้งเมื่อได้ยินเสียงกระดิ่งและต่อมาสุนัขมีอาการน้ําลายไหลเมื่อได้
ยินเสียงกระดิ่งทั้งๆที่ไม่มีอาหารให้ ทั้งนี้เพราะสุนัขเชื่อมโยงเสียงกระดิ่งกับอาหารเข้าด้วยกันเราสามารถ
เรียนรู้ที่จะมีทัศนคติต่อสิ่งต่างๆด้วยการเชื่อมโยงเช่นกัน ดังเช่นคําว่านาซีไปเชื่อมโยงกับอาชญากรรมที่มี
ความโหดเหี้ยมน่าสะพรึงกลัวความเชื่อว่าพวกนิยมนาซีเป็นคนเลวเพราะเราเรียนรู้ที่จะเชื่อมโยงพวกเขากับ
ความโหดร้ายทารุณเป็นต้น
2. การเสริมแรง (reinforcement) นักจิตวิทยาผู้นําเสนอทฤษฎีนี้คือ สกินเนอร์ (Skinner) และ
คนอื่นๆซึ่งกล่าวว่า ผู้คนเรียนรู้ที่จะแสดงพฤติกรรมต่างๆออกมาเพราะเขาได้รับสิ่งที่พึงปรารถนาและความพึง
พอใจตามมา และหลีกเลี่ยงที่จะแสดงพฤติกรรมที่ได้รับสิ่งซึ่งไม่พึงปรารถนาหรือไม่พึงพอใจตามมาเด็กๆ
เรียนรู้ที่จะให้ความช่วยเหลือผู้อื่นเพราะแม่แสดงความชื่นชมเมื่อเด็กแบ่งของเล่นให้เพื่อน หรือยิ้มให้เมื่อเด็ก
ช่วยทํางานบ้านเล็กๆน้อยๆหรือนิสิตอาจเรียนรู้ที่จะไม่โต้แย้งอาจารย์ในชั้นเรียนเพราะแต่ละครั้งที่เขาทํา
เช่นนั้นอาจารย์จะขมวดคิ้วแสดงอาการโกรธและตอบกลับด้วยเสียงอันดังเกินควร เป็นต้น
3. การเรียนรู้ด้วยการสังเกต (observational learning) บ่อยครั้งที่ผู้เรียนรู้ที่จะแสดงทัศนคติ
และแสดงพฤติกรรมทางสังคมง่ายๆ ด้วยการสังเกตจากการแสดงทัศนคติและพฤติกรรมทางสังคมของผู้อื่นซึ่ง
เรียกว่าเป็นตัวแบบ (model) เด็กๆเรียนรู้ภาษาถิ่นและภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์โดยการฟังจากผู้คนที่พูดคุยอยู่
รอบตัวเขา ผู้คนวัยหนุ่มสาวเรียนรู้ที่จะมีทักษะทางการเงินอย่างง่ายๆด้วยการฟังการสนทนาของบิดามารดา
ระหว่างช่วงเวลามีการเลือกตั้งในการเรียนรู้ด้วยการสังเกตคนอื่นๆๆคือบุคคลสําคัญที่จะเป็นแหล่งข้อมูล
ข่าวสารในการเรียนรู้ การเรียนแบบหรือการจําลองแบบอย่าง (imitation or modeling) เกิดขึ้นเมื่อ