Page 23 - การจัดการความขัดแย้ง
P. 23

๑๔



                          ËÅÑ¡¡Ò÷Õè ô  เมื่อกําลังพูด จงนึกถึงมุมมองของผูฟงอยูเสมอ ฉะนั้นผูพูดก็ดี ผูฟงก็ดี

              ตองตระหนักในเรื่องของมุมมองนี้และมีความไวในการที่จะปรับเพื่อใหเกิดความสรางสรรคทั้งสองฝาย
              กระบวนทัศนใหมตอมาที่จะตองมีก็คือ

                          ¡ÒÃʹ·¹Ò (The Dialogic Paradigm)
                          กระบวนทัศนนี้จะหมายถึง มุมมองของการสื่อสารที่ดูเรื่องความสําเร็จรวมกันของผูที่รวม

              สื่อสาร คูเจรจาหรือคูสื่อสารกันลงทุนลงแรงรวมกันที่จะพยายามเขาใจและใหคูเจรจาเขาใจ เหมือนกับ
              การที่คนสองคนที่รวมเลนเพลงดวยเครื่องดนตรีคูกัน (Duet) ยื่นมือมาจับมือกัน เลนหมากรุก เตนรํา

              คูกัน เปนตน กิจกรรมดังกลาวนี้จะสําเร็จไดจะตองรวมมือกันทั้งกระบวนการ (Process) และเนื้อเรื่อง
              (Content) หากจะเปรียบเทียบกับกระบวนทัศนสามอยางที่กลาวมาแลว เชน กระบวนทัศนสงสัญญาณ

              และรับสัญญาณก็เปนเรื่องของ “เนื้อขาวที่สง” สวนกระบวนทัศนแหงความตั้งใจก็จะเนนความตั้งใจของ
              ผูพูด กระบวนทัศนของการดูมุมมองก็เปนเรื่องของทัศนคติหรือมุมมองของผูรับขาวสาร ถาจะดูใหลึกลงไป

              ก็คือ เมื่อมองกระบวนทัศนของการสงรหัสและรับรหัสจะมองบทบาทของผูฟงในลักษณะคอยรับฟง
              (Passive Listener) เทานั้น ที่จะตองพยายามแปลขาวสารนั้นใหดี แตในกระบวนทัศนแหงการสนทนา

              นี้ คูเจรจาหรือคูสื่อสารจะไมจํากัดบทบาทตนเองเพียงคอยรับฟงแปลความหมายเฉยๆ แตตองเปลี่ยน
              บทบาทเปนการฟงอยางตั้งใจ (Active Listener) ไดแก การถามคําถาม เพื่ออธิบายใหกระจาง และ

              ทั้งคูพยายามอยางที่สุดที่จะใหมั่นใจวาคูเจรจาตางเขาใจอยางจริงแทวาเกิดความเขาใจ ฉะนั้นผูฟง
              จึงตองเรียนรู ภาษาทาทาง ปฏิกิริยาตอบสนองของผูฟงที่สื่อกลับมา เชน การพยักหนา การแสดง

              ความรับรองวาเขาใจ เชน “อือ ฮึ”, “ใช! ใช” เปนตน มีสีหนาทาทางที่แสดงอารมณออกมาดวย
                          ËÅÑ¡¡Ò÷Õè õ  จงเปนผูฟงอยางตั้งใจ

                          การฟงเปนกระบวนการแหงความรวมมือกันเพื่อทําความเขาใจสิ่งที่สื่อออกมา ความขัดแยง
              มักจะเกิดขึ้นจากการสื่อสารโดยการพูดจากันที่คูเจรจาไมพยายามรวมมือกันอยางสรางสรรค แมคูเจรจา

              จะพยายามรวมมือแตไมสามารถจะมองเห็นทางออกที่ทั้งคูยอมรับได การสื่อสารมีความจําเปนและ
              เปนขั้นตอนแรกๆ หรือเปนพื้นฐานที่จะนําไปสูทางออกในที่สุด ดอยทสและโคลแมน (Deutsch and

              Coleman ๒๐๐๐) ไดใหความเห็นไววาธรรมชาติของมนุษยนั้น ถามองอีกมุมหนึ่งวามีศัตรูรวมกัน
              (ที่รูสึกวาถึงทางตัน) ก็อาจจะเปนเหตุทําใหคูเจรจาที่ขัดแยงกันหันหนามารวมมือกัน ศัตรูที่ตางมีรวมกันนั้น

              ก็คือ “ความเขาใจผิด” และการรวมมือกันเพื่อกําจัดศัตรูรวมกันนั้น คูเจรจาจึงตองชวยกันทําในเบื้องแรก

                          ËÅÑ¡¡Ò÷Õè ö  เริ่มจากการสรางสถานการณที่เอื้อใหเกิดการสื่อสารอยางมีประสิทธิภาพ;
              เมื่อเกิดความรวมมือซึ่งเปนสิ่งจําเปนของการสื่อสาร ก็จะนําไปสูบริบทอื่นๆ ตามมา
                          ÃٻẺËÃ×Íà¹×éÍËÒ ÍÐäÃสํา¤ÑÞ¡Ç‹Ò ËÃ×ÍÇÔ¸Õ¡ÒÃนําàʹ͡Ѻคํา¾Ù´ ÍÐäÃสํา¤ÑޡNjҡѹ

                          ในขณะที่เราพูดออกไปจะมีองคประกอบสองสวน คือ เนื้อหาหรือคําพูดกับรูปแบบหรือ

              วิธีการที่เราสื่อหรือนําเสนอ เชน เราตองการปดประตูเราอาจจะพูดวา “ปดประตู!” ในลักษณะของ
              การสั่ง หรือ “คุณจะชวยกรุณาปดประตูหนอยไดไหมครับ” ก็เปนการพูดเพื่อใหเกิดการปดประตู
   18   19   20   21   22   23   24   25   26   27   28