Page 29 - _____ 2 _______Neat
P. 29

การพัฒนาตน


                                      มีความเชื่อเบื้องตนหลายประการเกี่ยวกับมนุษยกับสังคมที่ถกเถียงกันมานาน
                       แลว ตั้งแตอดีตจนถึงปจจุบันก็ยังไมมีขอสรุปโดยสมบูรณ เชน โดยสัญชาตญาณแลวมนุษยเปน

                       สัตวสังคมจริงหรือความสัมพันธระหวางบิดามารดากับบุตรเกิดจากสัญชาตญาณ หรือการเรียนรู

                       กันแน มนุษยเกิดมามีสัญชาตญาณเห็นแกตัวจริงหรือ เพื่อความเขาใจชัดเจนในประเด็นตาง ๆ ที่

                       เกี่ยวกับความเชื่อเบื้องตนและพฤติกรรมของมนุษย โดยเฉพาะในสวนที่เปนพฤติกรรมทางสังคม
                       จึงควรทําความเขาใจแนวความคิดพื้นฐานที่อธิบายพฤติกรรมของมนุษยกับสังคมที่นาสนใจ คือ

                                      2.3.1.1 ทฤษฎีมนุษยกับสังคมของโธมัส ฮอบส

                                               โธมัส ฮอบส (Thomas Hobbes, 1588 - 1679) เปนนักปรัชญาชาว
                       อังกฤษ ไดเสนอทฤษฎีเพื่ออธิบายพฤติกรรมของมนุษยกับสังคม โดยมีความเชื่อวา มนุษยทุกคน

                       ทําสิ่งตางๆ เพื่อผลประโยชนของตนเองทั้งสิ้น การรวมตัวกันทางสังคม การสรางกฎเกณฑและ

                       กฎหมายบานเมืองที่ควบคุมและชี้นําพฤติกรรมของคนในสังคมก็เพื่อตอบสนองความตองการของ

                       แตละบุคคลทั้งสิ้น  หากจะถามฮอบสวา เมื่อเปนเชนนี้ทําไมมนุษยจึงชวยเหลือกันและกัน เห็นอก
                       เห็นใจซึ่งกันและกัน ฮอบสก็จะตอบวาถาหากพิจารณาใหลึกซึ้งแลว การชวยเหลือคนอื่นก็เปนการ

                       ชวยเหลือตนเองทางออม การชวยเหลือคนอื่นเปนเพียงการลงทุน เพื่อใหคนอื่นชวยเหลือตนเอง

                       (สุจิต บุญบงการ 2521 : 33) ดังนั้น แนวทัศนะของฮอบสจึงจัดอยูในกลุมแนวความเชื่อวา “มนุษย

                       มีความเห็นแกตัว”

                                      2.3.1.2 ทฤษฎีมุงสัมพันธ
                                               ทฤษฎีนี้อธิบายใหเห็นวาความสัมพันธหรือความผูกพันกันระหวาง

                       บุคคลเปนธรรมชาติทางสังคมอยางหนึ่งของมนุษย ความสัมพันธระหวางมารดากับทารกเปน

                       จุดเริ่มตนของพฤติกรรมมุงสัมพันธของมนุษย แตพฤติกรรมมุงสัมพันธในวัยผูใหญมีองคประกอบ
                       ที่ซับซอนมากกวาในวันเด็ก นักจิตวิทยาบางคนไดอธิบายใหเห็นวาพฤติกรรมมุงสัมพันธเปน

                       สัญชาตญาณอยางหนึ่งของมนุษย

                                               วิลเลียม แมกดูแกล (William McDougall) เชื่อวาการอยูรวมกันและมี

                       ความสัมพันธกันเปนสัญชาตญาณของมนุษย เหมือนกับนกสรางรัง ซึ่งพฤติกรรมนี้เปนธรรมชาติ

                       เหมือนกับทารกดูดนมมารดา มิใชทําไปเพราะคํานึงถึงผลประโยชน มนุษยเกิดมาพรอมกับ
                       คุณลักษณะหลายประการ ซึ่งกําหนดโดยองคประกอบทางพันธุกรรม และเปนที่เขาใจวา

                       คุณลักษณะอยางหนึ่งนั้น คือ แนวโนมอยากมีเพื่อนหรืออยูรวมกันเพื่อนมนุษย ถาหากแนวคิดนี้

                       เปนจริงเราก็พอจะคาดคะเนไดวาเด็กที่ถูกแยกไปเลี้ยงไวตางหากโดยขาดการกระตุนจาก

                       สิ่งแวดลอม มีแนวโนมที่จะแสดงพฤติกรรมมุงสัมพันธทันทีที่เด็กมีโอกาส โดยไมจําเปนวา จะมี
                       ประสบการณในการอยูรวมกับคนอื่นมากอนหรือไม มีการทดลองของนักจิตวิทยาที่นาสนใจเพื่อ

                                                                                                       59
   24   25   26   27   28   29   30   31   32   33   34