Page 48 - หลักสูตรประวัติศาสตร์ฯ จ.ร้อยเอ็ด
P. 48

25


                     1) แบ่งผู้เรียนเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 5 – 6 คน ตามความเหมาะสมของเวลา และจำนวนผู้เรียน

                     2) จากนั้นให้แต่ละกลุ่มตั้งแถวตอนเรียงเดี่ยว โดยให้แต่ละคนยืนห่างกันประมาณ 1 เมตร หรือบาง
               ห้องเรียนสะดวกนั่งเป็นแถวย่อมสามารถทำได้ตามสมควร
                     3) ให้สมาชิกคนแรก ที่เป็นหัวแถวของแต่ละกลุ่ม เข้ามาดูวิดิทัศน์ผ่านโนตบุค หรือเครื่องมือสื่อสาร

                                                                ิ
                                                             ์
               อย่างอื่น โดยสมมติว่าเหตุการณ์ในวิดิทัศน์คือเหตุการณที่เกดขึ้นในอดีตและหัวแถวของแต่ละกลุ่มคือคนที่พบ
               เจอเหตุการณ์เหล่านั้นด้วยตนเอง ด้วยเหตุนี้ครูจึงต้องระวังไม่ให้สมาชิกในแถวคนอื่น ๆ เห็น หรือได้ยินเสียง
               จากวิดิทัศน์
                     4) เมื่อหัวแถวของแต่ละกลุ่ม ดูวิดิทัศน์เสร็จแล้ว ให้กลับไปเล่าให้คนที่สองของแถวซึ่งสมมติว่าเป็นลูกได้

               ฟังจากนั้นก็เล่าให้คนที่ 2 ที่ 3 ซึ่งเป็นลูกของลูกให้เล่าไปจนถึงคนสุดท้าย (ห้ามเล่าข้ามลำดับเด็ดขาด แต่
               มักจะฝ่าฝืนอย่างสนุกสนาน) โดยมีเวลาเล่าเรื่อง 1– 2 นาที ต่อคนแต่ละรุ่น หรือตามความเหมาะสมของเวลา

                                                               ิ
                     5) คนสุดท้ายของแถวมีหน้าที่จดบันทึกเรื่องราวที่เกดขึ้น แล้วนำไปเล่าหน้าชั้นเรียน
                     6) เมื่อทุกกลุ่มเล่าเสร็จ ให้คนสุดท้ายของทุกกลุ่มร่วมกันเป็นเรื่องราวใหม่จากบันทึกที่ตนมี แล้วร่วมกัน
               เล่าให้เพื่อนฟังอีกครั้ง

                     7) ครูเปิดวิดิทัศน์ในจอขนาดใหญ่ให้ผู้เรียนทุกคนได้ดู แล้วช่วยกันวิเคราะห์ว่าทำไมเรื่องเล่าของแต่ละ
               กลุ่มจึงมีความเหมือนหรือแตกต่างกัน

                     เมื่อผู้สอนเล่าสรุปกิจกรรมนี้แต่เพียงเล็กน้อย ผู้เรียนจะสามารถเข้าใจผ่านการลงมือปฏิบัติอย่างรวดเร็ว
               เช่น เรื่องราวที่เล่ากันแบบปากต่อปากนี้แหละที่เรียกว่าตำนาน แม้ตำนานอาจเกิดจากความจริง แต่ตำนาน
               ไม่ใช่ความจริงทั้งหมด

                     เรื่องอะไรที่คงอยู่ และเรื่องอะไรที่หายไปเกิดจากอะไร ตลอดจนเมื่อตำนานหลายเรื่องถูกบันทึกจึงอาจ
               กลายเป็นหลักฐานที่เรียกว่าพงศาวดาร

                     ทั้งตำนาน และพงศาวดาร จึงไม่อาจเชื่อได้ทั้งหมด แต่ต้องถูกตรวจสอบเสมอเพียงกิจกรรมเดียวนี้ ครู
                                        ู
               ยังสามารถพัฒนาทักษะการพด ทักษะการฟัง ทักษะการจับใจความ ทักษะการน าเสนอข้อมูล ทักษะในการ
                                                                                                ี
               เลือกใช้หลักฐาน ทักษะการวิเคราะห์ตลอดจนทักษะการใช้เหตุผล และทักษะการเปรียบเทียบ ได้อกด้วย
                                                                    ึ้
                     ส่วนด้านจิตสำนึกทางประวัติศาสตร์ ครูสามารถวัดการมีขนได้หากผู้เรียนสามารถสะท้อนได้ว่า จากนี้ไป
               ทุกข้อมูลที่ได้รับพวกเขาต้องตั้งคำถาม และตรวจสอบด้วยตนเองกอนเสมอ
                                                                      ่
                     นอกจากนี้ครูอาจเพิ่มทักษะการสื่อสาร ผ่านโครงสร้างสอนการเล่าเรื่องแบบ ใคร –ทำอะไร – ที่ไหน –
               เมื่อใด – อย่างไร

                     เพียงเท่านี้ ผู้สอนย่อมสามารถสร้างทักษะในศตวรรษที่ 21 ให้แก่ผู้เรียนได้อย่างไม่ยากเย็น
                     อย่างไรก็ดี ผู้สอนไม่พึงต้องวิตกกังวลว่า ผู้เรียนจะจดจำเนื้อหาได้หรือไม่ เนื่องด้วยต้องเข้าใจว่าในชีวิต

                                                                                   ้
               หนึ่งย่อมมีเรื่องราวเข้ามามากมาย เนื้อหาจากการเรียนก็เป็นเรื่องราวอย่างหนึ่งที่เขามาในชีวิตของผู้เรียน
               ผู้เรียนจะจดจำเนื้อหาใดได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าผู้เรียนประทบใจหรือไม่ หากเรื่องใด สามารถสอนใจ หรือเอาไป
                                                                ั
               ใช้เป็นมุมมองของชีวิตได้ผู้เรียนย่อมจะไม่มีทางลืมเนื้อหานั้น ๆ เพียงผู้สอนทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด แล้ว
               ร่มเย็นในใจอุเบกขา

                     ๒.๓.๗ สอนประวัติศาสตร์อย่างไรให้เข้าถึงจิตสำนึก
   43   44   45   46   47   48   49   50   51   52   53