Page 111 - 2557 เล่ม 1
P. 111
๑๑๑
๒๐๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๓๙๗,๘๙๒ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ
๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชําระให้แก่โจทก์ที่ ๑ แล้วเสร็จ และให้
จําเลยจ่ายค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๑๔๔,๔๒๗ บาท ค่าชดเชย
๖๓๔,๑๕๘ บาท และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ๕๐๐,๐๐๐ บาท
รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑,๒๗๘,๕๘๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี
นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชําระให้แก่โจทก์ที่ ๒ แล้วเสร็จ และให้จําเลย
ชําระเงินกองทุนสํารองเลี้ยงชีพในส่วนของจําเลยให้แก่โจทก์ทั้งสองนับแต่วันที่จําเลย
จ่ายเงินในส่วนของจําเลยเข้ากองทุนสํารองเลี้ยงชีพจนถึงวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๔๘ ด้วย
จําเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานภาค ๒ ฟงงข้อเท็จจริงว่า
โจทก์ที่ ๑ ทําหน้าที่เป็นผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายบัญชี ส่วนโจทก์ที่ ๒ ทําหน้าที่เป็น
ผู้จัดการฝ่ายบัญชี บริษัทจําเลยเป็นบริษัทในเครือเดียวกันกับบริษัทซัมมิท
เอ็นจิเนียริ่งเซ็นเตอร์ จํากัด และบริษัทซัมมิทออโตซีทอินดัสตรี จํากัด ต่อมา
บริษัทซัมมิทเอ็นจิเนียริ่งเซ็นเตอร์ จํากัด ขาดภาพคล่องจึงเรียกให้จําเลยชําระหนี้
ที่ค้างชําระตั้งแต่ปี ๒๕๔๓ ถึง ๒๕๔๗ เป็นเงินประมาณ ๙๐ ล้านบาท ผู้บริหาร
ของจําเลยให้โจทก์ทั้งสองทําเรื่องอนุมัติการจ่ายเงินจํานวนดังกล่าว แต่หนี้ดังกล่าว
มีเอกสารไม่ครบถ้วนบางรายการเพราะไม่มีการบันทึกรายการสินค้าและใบตรวจ
รับสินค้า และบางรายการไม่ถือเป็นหนี้ของจําเลย โจทก์ทั้งสองจึงปฏิเสธไม่ทําเรื่อง
อนุมัติการจ่ายเงินตามที่บริษัทซัมมิทเอ็นจิเนียริ่งเซ็นเตอร์ จํากัด เรียกมา ต่อมา
จําเลยได้ยืนยันคําสั่งให้โจทก์ทั้งสองจ่ายเงิน โจทก์ทั้งสองจึงยอมทําเรื่องอนุมัติ
จ่ายเงินให้ จําเลยจึงได้ออกหนังสือพักงานโจทก์ทั้งสองโดยได้รับค่าจ้างเป็นเวลา ๗ วัน
เมื่อพ้นกําหนดพักงานแล้วโจทก์ทั้งสองกลับมาที่ทํางานแต่ไม่ได้ขึ้นไปทํางานที่ชั้นสอง
อันเป็นห้องทํางานเพราะรอคําอธิบายจากผู้เกี่ยวข้องว่าโจทก์ทั้งสองบกพร่อง
อย่างไร ต่อมาเมื่อทราบจากทางฝ่ายจําเลยว่าจะไม่มีการชี้แจงในเรื่องดังกล่าวแล้ว
โจทก์ทั้งสองจึงได้นํารถยนต์ของจําเลยขับไปที่บริษัทซัมมิทออโตซีทอินดัสตรี จํากัด
ที่จังหวัดสมุทรปราการเพื่อจะขอพบผู้บริหารของจําเลย ซึ่งก่อนหน้านี้โจทก์ทั้งสอง
ก็เคยไปพบผู้บริหารและสามารถนํารถผ่านประตูเข้าไปได้อยู่แล้ว แต่ผู้บริหารของ