Page 78 - 2557 เล่ม 1
P. 78
๗๘
จําเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟงงได้ว่า ผู้เสียหายที่ ๑ เป็นบุตรของ
ผู้เสียหายที่ ๒ กับนางแคทเทอรีน่า เกิดวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๔๘ ขณะเกิดเหตุ
มีอายุ ๕ ปีเศษ ผู้เสียหายที่ ๒ แยกทางกับภริยา และผู้เสียหายที่ ๑ ไปอาศัยอยู่กับมารดา
ที่ประเทศรัสเซีย นางแคทเทอรีน่าพาผู้เสียหายที่ ๑ กลับประเทศไทยเพื่อ
ต่อหนังสือเดินทาง แต่ผู้เสียหายที่ ๒ ไม่ยินยอม นางแคทเทอรีน่าจึงเดินทางกลับ
ประเทศรัสเซีย ส่วนผู้เสียหายที่ ๑ พักอาศัยอยู่กับผู้เสียหายที่ ๒ ในประเทศไทย
ผู้เสียหายที่ ๒ ประกอบธุรกิจร้านอาหาร ผู้เสียหายที่ ๒ กับจําเลยเป็นเพื่อนกัน
ผู้เสียหายที่ ๒ ชักชวนจําเลยมาทํางานที่ร้านโดยให้ทําหน้าที่ดูแลงานทั่วไป สําหรับ
ความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดาเพื่อการอนาจาร
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง โจทก์ไม่ฎีกา ความผิดฐานดังกล่าวจึงยุติไปตาม
คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ มีปงญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจําเลยประการแรกว่า
การสอบสวนคดีนี้ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จําเลยฎีกาว่า จําเลยขอแสดงความบริสุทธิ์ใจ
ด้วยการขอให้พนักงานสอบสวนหาสารพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอ แต่พนักงานสอบสวน
ไม่ดําเนินการให้ การสอบสวนจึงไม่ชอบ เห็นว่า เป็นดุลพินิจของพนักงานสอบสวน
และโจทก์ในการปฏิบัติหน้าที่ เมื่อเห็นว่าพยานหลักฐานที่รวบรวมไว้เพียงพอแล้ว
จึงสรุปสํานวนความเห็นสั่งฟ้องจําเลย การสอบสวนจึงชอบแล้ว ส่วนที่จําเลยเห็นว่า
ควรจะต้องมีการตรวจหาสารพันธุกรรม เมื่อพนักงานสอบสวนไม่ดําเนินการให้
จําเลยก็สามารถดําเนินการให้มีการตรวจหาสารดังกล่าวเองได้ การที่ไม่มี
การตรวจหาสารพันธุกรรมจึงไม่มีผลทําให้การสอบสวนไม่ชอบแต่อย่างใด ฎีกา
ของจําเลยข้อนี้ฟงงไม่ขึ้น
ปงญหาต้องวินิจฉัยประการที่สองมีว่า จําเลยกระทําชําเราผู้เสียหายที่ ๑
ตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายที่ ๑ เบิกความว่า วันเวลาเกิดเหตุทั้งสองวัน
จําเลยนําจิ๋มมาใส่จู๋ของหนูรวม ๒ ครั้ง เห็นว่า อาจเป็นเพราะผู้เสียหายที่ ๑ เป็นเด็กเล็ก
ไม่เข้าใจการใช้ภาษาดีพอจึงใช้คําผิดพลาดไป ความจริงพยานต้องสื่อว่า จําเลย
กระทําชําเราพยาน ที่ถูกจึงต้องใช้คําว่า จําเลยนําจู๋มาใส่จิ๋มของพยาน คําเบิกความ
ของผู้เสียหายที่ ๑ ที่ใช้คําผิดพลาดไม่มีผลถึงกับทําให้คําเบิกความเสียไป