Page 33 - รายงานประจำปี 2562
P. 33
คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำานาจหน้าที่ระหว่างศาล
ั
ั
เป็นศาลแรก เม่อศาลแรกช้ขาดก็เป็นอันจบ เพราะเขา ของฝร่งเศสมาต้งเป็นรูปแบบของคณะกรรมการวินิจฉัย
ี
ื
ี
ี
ี
มองว่าตุลาการทุกศาลมาจากระบบการเรียนกฎหมาย ช้ขาดอำานาจหน้าท่ระหว่างศาล แค่ทำาหน้าท่เป็นกลาง คือ
ั
ี
ี
ท่เหมือนกัน ส่วนระบบของไทยนำามาจากฝร่งเศส ท่มีการ ปกป้องอำานาจของท้งสองศาลเป็นการป้องกันการขัดแย้ง
ั
ี
ั
็
จัดต้งระบบการช้ขาดข้นมาเป็นศาล เรียกว่า “ศาลคด ทงเชงบวกและเชิงลบ คอ กรณฟ้องศาลไหน ศาลไหนกรบ
้
ื
ั
ิ
ั
ึ
ี
ี
ขัดกัน” (Tribunal des conflits) ทำาหน้าที่ชี้ขาดว่าศาล ฟ้องศาลปกครอง ศาลปกครองกรับ ฟ้องศาลแพ่ง
็
ยตธรรมจะนำาคดปกครองไปวนจฉยหรอไม่ เนองจาก ศาลแพ่งก็รับ หรือในทางกลับกัน กรณีฟ้องศาลปกครอง
ุ
ิ
ิ
ิ
ั
่
ื
ื
ี
แนวคิดของฝรั่งเศส ศาลยุติธรรมจะมาแทรกแซงกิจการ ศาลปกครองก็ไม่รับ ไปฟ้องศาลแพ่ง ศาลแพ่งก็ไม่รับ
ั
้
่
ิ
้
ึ
ึ
ี
ั
่
ของฝายปกครองไมได โดยเขามหลกประการหนงเกดขน ประเภทแรกก็คือความขัดแย้งเชิงบวก ท้งสองศาลแย่งกัน
่
หลังการปฏิวัติเม่อปี ค.ศ. ๑๗๘๙ คือ มีการออกกฎหมาย ให้ความยุติธรรม ประเภทที่สองคือความขัดแย้ง
ื
ั
ี
ลงวันท่ ๑๖ และวันท่ ๒๔ สิงหาคม ค.ศ. ๑๗๙๐ ห้ามมิให้ เชิงลบ ท้งสองศาลปฏิเสธความยุติธรรม กลไกหรือ
ี
้
ี
ศาลยุติธรรมเขาไปแทรกแซง ยุงเกี่ยวกับกิจการของฝาย องค์ประกอบขององค์กรชขาดของเราไม่เหมือนของเขา
้
่
่
ี
ึ
ปกครอง ไม่ว่าฝ่ายปกครองจะกระทำาการ ปฏิบัติการ ซ่งก็มีประเด็นท่นักวิชาการวิพากษ์วิจารณ์อยู่พอควร
ิ
ั
กระทำาละเมิด รวมท้งห้ามเรียกฝ่ายปกครองไปเป็นคู่ความ ในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับท่านอาจารย์บวรศักด์ ก็ม ี
ี
ี
ี
หรือพยาน เหตุท่มีการออกกฎหมายเช่นน้นเพราะ ความพยายามท่จะเปล่ยนแปลงโครงสร้างของคณะกรรมการ
ั
ี
ี
ั
ี
การปฏิวัติฝร่งเศสไม่ได้เป็นปฏิปักษ์ต่อกษัตริย์เท่าน้น วินิจฉัยช้ขาดฯ ท้งโครงสร้างในส่วนท่เก่ยวกับประธาน
ั
ั
ี
่
แต่การปฏิวัติฝร่งเศสยังเป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันศาลอีกด้วย กรรมการ และเลขานุการ แต่ในทสุดเราก็ยุติตามร่าง
ั
ั
ี
เหตุผลคือศาลยุติธรรมเป็นศาลท่มีอิสระมาต้งแต่ รัฐธรรมนูญของท่านอาจารย์มีชัย คือเหมือนเดิมทุกอย่าง
ึ
สมัยเก่าหรือสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซ่งการปกครอง ๒. อำานาจของศาลยุติธรรมและศาลปกครอง
ี
ั
ั
สมัยเก่าของฝร่งเศส ศาลทำาตัวเป็นอิสระ หลายคร้ง ในการพิจารณาพิพากษาข้อพพาทเก่ยวกับสัญญาทาง
ิ
ก็เป็นอุปสรรคต่อฝ่ายกษัตริย์หรือจักรพรรดิ โดยประกาศ ปกครอง
ั
พระบรมราชโองการหรือกฎหมายของกษัตริย์ในสมัยน้น ในเร่องของสัญญาน้น ฝ่ายปกครองก็เป็น
ั
ื
จะใช้บังคับได้ต่อเมื่อมีการขึ้นทะเบียนโดยศาล บางครั้ง นิติบุคคลมีความสามารถเหมือนบุคคลธรรมดา
กษัตริย์จึงต้องยอมทำาตามข้อเรียกร้องของศาล ศาลจึง ฝ่ายปกครองสามารถทำานิติกรรม ทำาสัญญาได้ ซ่งเรา
ึ
ี
มีอำานาจในการแทรกแซงกฎหมายท่กษัตริย์ประกาศใช้ เรียกสัญญาท้งหมดท่ฝ่ายปกครองทำาว่า “สัญญาของ
ั
ี
ิ
ถ้าศาลไม่พอใจกฎหมายใดกใช้บังคับไม่ได้ หลังการปฏวัต ิ ฝ่ายปกครอง” พอมีการจัดต้งศาลปกครองขนมา จึงม ี
็
ั
้
ึ
ฝร่งเศสจึงห้ามศาลยุติธรรมเข้ามาแทรกแซงการปฏิรูป การจำาแนกสัญญาของฝ่ายปกครองออกเป็น ๒ ประเภท
ั
บ้านเมือง ถ้าสภาออกกฎหมายมาและฝ่ายปกครองได้ เน่องจากมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดต้ง
ื
ั
ิ
ุ
ิ
ุ
ิ
่
ี
ั
ั
ปฏบตไปอย่างใด ศาลยตธรรมห้ามเข้ามาย่งเกยวกบ ศาลปกครองฯ บญญัตนยามความหมายของ “สัญญา
ิ
ิ
ั
ี
ื
ี
ฝ่ายปกครอง เม่อเป็นเช่นน้คดีปกครองจึงไม่มีท่ไป ทางปกครอง”เอาไว้ และมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่ง
ก็เลยต้องต้งสถาบัน เรียกว่า “สภาแห่งรัฐ” (Conseil พระราชบัญญัติดังกล่าว บัญญัติให้คดีพิพาทเก่ยวกับ
ั
ี
ื
ึ
d’Etat) ข้นมาในปี ค.ศ. ๑๗๙๙ และมีการพัฒนาเร่อยมา สญญาทางปกครองอยในอำานาจของศาลปกครอง ฉะนน
ั
้
ู
่
ั
จนยกฐานะเป็นศาลปกครองในปี ค.ศ. ๑๘๗๒ และม ี โดยหลกกต้องมาพิจารณาว่า เนอในของสญญาของ
ั
ื
็
้
ั
ั
การจัดตั้ง “ศาลคดีขัดกัน” ขึ้นมาพร้อมกัน ทำาหน้าที่ใน ฝ่ายปกครองน้นเป็นสัญญาทางปกครอง ตามบทนิยาม
ั
็
การปกป้องหลักการไม่ให้ศาลยุติธรรมเข้ามาแทรกแซง หรือไม่ หากไม่ใช่กเรียก “สญญาทางแพ่งของฝ่ายปกครอง”
ี
ั
ฝ่ายปกครอง น่เป็นแนวคิดของประเทศฝร่งเศส ไม่ใช่ ผลของการแยกออกเป็น ๒ ประเภท ก็คือเม่อมีข้อพิพาทข้น
ึ
ื
ประเทศไทย เพราะประเทศไทยเราเพียงแต่เอาโครงสร้าง ถ้าพิจารณาว่าเป็นสัญญาทางปกครองก็ไปฟ้องท ี ่
กิจกรรมของสำ�นักง�นเลข�นุก�ร
คณะกรรมก�รวินิจฉัยชี้ข�ดอำ�น�จหน้�ที่ระหว�งศ�ล 27
่