Page 20 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 20

๗


                                                                                                         ั
                  ปากเดียวมาเบิกความ โดยที่จ้าเลยให้การปฏิเสธมาโดยตลอด พยานหลักฐานของโจทก์ย่อมไม่พอให้รับฟง
                  ลงโทษจ้าเลยได้
                         ค้าพพากษาฎีกาที่ ๒๑๙๐/๒๕๖๓ ผู้เสียหายที่ ๑ ได้รับหมายเรียกแต่ไม่มาศาล ศาลออกหมายจับ
                             ิ
                  แต่จับไม่ได้โดยมีพฤติการณ์หลบหนี จนศาลต้องงดสืบพยาน จึงเหตุจ้าเป็นและมีเหตุสมควรเพอประโยชน์
                                                                                                ื่
                                         ั
                  แห่งความยุติธรรมที่จะรับฟงบันทึกค้าให้การของผู้เสียหายที่ ๑ ในชั้นสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธี
                  พจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๖/๓ วรรคสอง (๒) และบันทึกค้าเบิกความของผู้เสียหายที่ ๑ ที่เบิกความ
                   ิ
                  ไว้ในคดีอื่น ประกอบพยานอื่นในคดีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๖/๕

                         อนึ่ง ค้าให้การรับสารภาพของผู้ต้องหาในชั้นจับกุมที่เจ้าพนักงานผู้จับกุมบันทึกไว้ในชั้นจับกุมและ
                  น้ามาเบิกความ ถือเป็นพยานบอกเล่า เดิมศาลรับฟงเป็นพยานได้ เพราะเป็นค้ากล่าวที่เป็นปรปักษ์แก่
                                                              ั
                                                                               ิ
                  ผู้กล่าวเอง แต่ต่อมามีพระราชบัญญัติแก้ไขเพมเติมประมวลกฎหมายวิธีพจารณาความอาญา (ฉบับที่ ๒๒)
                                                        ิ่
                  พ.ศ.๒๕๔๗ ออกใช้บังคับ โดยบทบัญญัติในมาตรา ๘๔ วรรคท้าย บัญญัติว่า “ถ้อยค้าใดๆ ที่ผู้ถูกจับให้ไว้ต่อ
                  เจ้าพนักงานผู้จับหรือพนักงานฝ่ายปกครองหรือต้ารวจในชั้นจับกุมหรือมอบตัวผู้ถูกจับ ถ้าถ้อยค้านั้นเป็น

                                                                   ั
                                                                                                 ื่
                  ค้ารับสารภาพของผู้ถูกจับว่าตนได้กระท้าผิด ห้ามมิให้รับฟงเป็นพยานหลักฐาน แต่ถ้าถ้อยค้าอนจะรับฟง
                                                                                                         ั
                                          ิ
                  เป็นพยานหลักฐานในการพสูจน์ความผิดของผู้ถูกจับได้ต่อเมื่อได้มีการแจ้งสิทธิตามวรรคหนึ่ง หรือตาม
                  มาตรา ๘๓ วรรคสอง แก่ผู้ถูกจับ แล้วแต่กรณี” ซึ่งเป็นบทบังคับเด็ดขาด

                         มีแนวค้าพิพากษาฎีกาดังนี้
                         ค้าพพากษาฎีกาที่ ๕๐๒๘/๒๕๖๐ ดาบต้ารวจ ส.ตรวจค้นธนบัตรฉบับละ ๑๐๐ บาท จ้านวน ๓
                             ิ
                  ฉบับ ซึ่งเป็นธนบัตรที่ใช้ล่อซื้ออยู่ในกระเป๋ากางเกงของจ้าเลย สอบถามจ้าเลยให้การรับว่าธนบัตร ๓๐๐

                  บาท  ได้มาจากการจ้าหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางจ้านวน ๒ เม็ด ให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อ เมื่อร้อยต้ารวจตรี
                  จ. น้าเมทแอมเฟตามีนของกลางจ้านวน ๒ เม็ด ที่ได้จากการล่อซื้อให้จ้าเลยดู จ้าเลยรับว่าเป็นของตนเองที่
                  จ้าหน่ายให้แก่สายลับ ถ้อยค้าของจ้าเลยดังกล่าวถือว่าเป็นถ้อยค้ารับสารภาพของผู้ถูกจับว่าตนได้กระท้า

                  ความผิด ต้องห้ามมิให้รับเป็นพยานหลักฐาน ตามประมวลกฎหมายวิธีพจารณาความอาญา มาตรา ๘๔
                                                                               ิ
                  วรรคท้าย ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๓

                         ค้าพพากษาฎีกาที่ ๑๙๖๗๒/๒๕๕๕ แม้บันทึกค้ารับสารภาพของจ้าเลยกระท้าขึ้นเนื่องจากจ้าเลย
                             ิ
                  ถูกจับในคดีอน แต่ในบันทึกนั้นจ้าเลยก็ได้กล่าวถึงการที่จ้าเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย อันมีลักษณะเป็นถ้อยค้า
                             ื่
                  รับสารภาพว่า จ้าเลยผู้ถูกจับกุมได้กระท้าความผิด จึงต้องห้ามมิให้รับฟงเป็นพยานหลักฐาน ตามประมวล
                                                                             ั
                  กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๘๔ วรรคท้าย


                         ค้าพพากษาฎีกาที่ ๔๖๘/๒๕๕๓ เจ้าพนักงานต้ารวจเป็นผู้จับจ้าเลย เมื่อบันทึกการจับกุม
                             ิ
                                                                                                         ั
                  มีข้อความว่าจ้าเลยให้การรับสารภาพ จึงต้องห้ามมิให้น้าค้ารับสารภาพในชั้นจับกุมของผู้ถูกจับมารับฟง
                  เป็นพยานหลักฐาน ตามประมวลกฎหมายวิธีพจารณาความอาญา มาตรา ๘๔ วรรคสี่ และเมื่อบันทึกการ
                                                         ิ
                                                                                          ิ
                  จับกุมไม่มีข้อความใดที่บันทึกการแจ้งสิทธิแก่จ้าเลยผู้ถูกจับตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพจารณาความอาญา
                  มาตรา ๘๓ วรรคสอง บัญญัติเลย ทั้งพยานโจทก์ที่ร่วมจับกุมก็ไม่ได้เบิกความถึงเรื่องการแจ้งสิทธิ

                  แต่อย่างใด แม้โจทก์จะส่งบันทึกการแจ้งสิทธิผู้ถูกจับมาพร้อมกับบันทึกการจับกุม แต่ไม่มีข้อความว่า
   15   16   17   18   19   20   21   22   23   24   25