Page 23 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 23
๑๐
การวินิจฉัยชั่งน้ าหนักพยานบอกเล่า
มาตรา ๒๒๗/๑ “ในการวินิจฉัยชั่งน้้าหนักพยานบอกเล่า พยานซัดทอด พยานที่จ้าเลยไม่มีโอกาส
ื่
ถามค้าน หรือพยานหลักฐานที่มีข้อบกพร่องประการอนอนอาจกระทบถึงความน่าเชื่อถือของยานหลักฐาน
ั
นั้น ศาลจะต้องกระท้าด้วยความระมัดระวัง และไม่ควรเชื่อพยานหลักฐานนั้นโดยล้าพงเพอลงโทษจ้าเลย
ั
ื่
ื่
เว้นแต่จะมีเหตุผลอนหนักแน่น มีพฤติการณ์พเศษแห่งคดี หรือมีพยานหลักฐานประกอบอนมาสนับสนุน
ิ
ั
ิ
ื่
พยานหลักฐานประกอบตามวรรคหนึ่ง หมายถึง พยานหลักฐานอนที่รับฟงได้ และมีแหล่งที่มาเป็นอสระ
ั
ิ
ต่างหากจากพยานหลักฐานที่ต้องการพยานหลักฐานประกอบนั้น ทั้งจะต้องมีคุณค่าเชิงพสูจน์ที่สามารถ
สนับสนุนให้พยานหลักฐานอื่นที่ไปประกอบมีความน่าเชื่อถือมากขึ้นด้วย”
มีแนวค้าพิพากษาฎีกาดังนี้
ค้าพพากษาศาลฎีกาที่ ๑๕๕๒๙/๒๕๕๘ แม้ค้าให้การในชั้นสอบสวนของ ก. จะมีลักษณะ
ิ
เป็นค้าซัดทอดของผู้ร่วมกันกระท้าผิดและเป็นพยานบอกเล่า แต่ก็ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายบังคับโดย
เด็ดขาดห้ามมิให้รับฟงค้าให้การดังกล่าว ซึ่งข้อเท็จจริงที่ปรากฏก็ระบุถึงพฤติการณ์การกระท้าที่ร่วมกับ
ั
ั
จ้าเลยตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุต่อเนื่องเชื่อมโยงกันไปจนกระทั่งจ้าเลยยิงผู้ตายแล้วก็หลบหนีไปด้วยกัน อนเป็น
ข้อเท็จจริงที่บอกเล่าถึงเหตุการณ์แห่งคดีที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับมูลเหตุแห่งการกระท้าผิด มิใช่กระท้าไปโดย
ั
มุ่งต่อผลเพอให้ตนเองพนผิดแล้วให้จ้าเลยรับผิดเพยงล้าพง ประกอบกับจ้าเลยกับ ก. ไม่เคยมีสาเหตุโกรธ
้
ี
ื่
เคืองกัน จึงไม่มีข้อสงสัยว่า ก. จะให้การกลั่นแกล้งปรักปร้าจ้าเลยเพราะไม่มีเหตุผลใดที่ ก. จะกระท้า
เช่นนั้น เมื่อพิจารณาตามสภาพ ลักษณะ แหล่งที่มาและข้อเท็จจริงแวดล้อมของพยานดังกล่าวนั้นน่าเชื่อว่า
์
จะพิสูจน์ความจริงได้ จึงรับฟังได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๒๒๖/๓ วรรคสอง (๑) แม้ว่าโจทก์ไม่มีประจักษพยาน
รู้เห็นขณะจ้าเลยยิงผู้ตาย แต่โจทก์มีพยานแวดล้อมเห็นเหตุการณ์ใกล้ชิดก่อนผู้ตายถูกยิงจนถึงแก่ความตาย
โดยเห็นจ้าเลยกับพวกมาตามหาผู้ตาย เมื่อรู้ว่าผู้ตายอยู่ที่ห้องน้้าหลังบ้านจ้าเลยกับพวกก็เดินไปหาผู้ตาย
ี
ทันทีแล้วมีเสียงปืนดังขึ้น ๒ นัด พวกของจ้าเลยวิ่งออกไปก่อน แล้วมีเสียงปืนดังขึ้นอก ๓ นัด พอเสียงปืน
สงบจ้าเลยเดินออกมาจาก
รถจักรยานยนต์หลบหนีไป ระยะเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลาไม่นานซึ่งไม่พอระแวงสงสัยได้ว่าจะมี
ื่
ผู้อนเข้ามาฆ่าผู้ตายในช่วงเวลานั้น จึงเชื่อได้ว่าต้องเป็นจ้าเลยอย่างแน่แท้ที่ฆ่าผู้ตาย พนักงานสอบสวน
น้าโลหิตของจ้าเลยไปตรวจพสูจน์หาสารพนธุกรรม (DNA) กับเสื้อกันฝนสีแดงที่จ้าเลยสวมขณะเกิดเหตุ
ิ
ั
ที่ยึดไว้เป็นของกลาง ผลการตรวจพสูจน์พบสารพนธุกรรมของจ้าเลยที่เสื้อกันฝนสีแดงของกลาง
ิ
ั
พยานหลักฐานโจทก์ประกอบกันมีน้้าหนักมั่นคงรับฟงได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจ้าเลยฆ่าผู้ตาย
ั
พฤติการณ์ของจ้าเลยแสดงให้เห็นถึงการกระท้าที่มีการวางแผนเตรียมการไว้ล่วงหน้าอันเป็นการคิดทบทวน
ตกลงใจก่อนจะกระท้าผิดแล้ว จ้าเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
ค้าพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๓๑๔/๒๕๔๔ โจทก์มีแต่คารับสารภาพชั้นสอบสวนของจ้าเลย บันทึกการ
้
น้าชี้ที่เกิดเหตุประกอบค้ารับสารภาพและภาพถ่าย กับภาพถ่ายที่ ส. ชี้จ้าเลยโดยมี ร.ต.อ.น. พนักงาน
สอบสวนมาเบิกความประกอบ ซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของค้ารับสารภาพในชั้นสอบสวนเท่านั้น ทั้งจ้าเลยให้
ิ
การปฏิเสธในชั้นพจารณาว่าค้ารับสารภาพมิได้เป็นไปด้วยความสมัครใจและมิได้น้าชี้ที่เกิดเหตุแต่อย่างใด