Page 22 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 22

๙


                       ั
                                                                          ้
                                          ั
                  เหตุอนสมควร ศาลอาจรับฟงบันทึกค้าเบิกความในชั้นไต่สวนมูลฟองหรือบันทึกค้าเบิกความของพยานที่
                  เบิกความไว้ในคดีอื่นประกอบพยานหลักฐานอื่นได้เช่นกัน


                  การชั่งน้ าหนักพยานหลักฐาน
                         ตามประมวลกฎหมายวิธีพจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๗ “ให้ศาลใช้ดุลพนิจชั่งน้้าหนักพยาน
                                                                                          ิ
                                                ิ
                  หลักฐานทั้งปวง อย่าพพากษาลงโทษจนกว่าจะแน่ใจว่ามีการกระท้าผิดจริงและจ้าเลยเป็นผู้กระท้าความผิด
                                     ิ
                  นั้น เมื่อมีความสงสัยตามสมควรว่า จ้าเลยได้กระท้าผิดหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จ้าเลย”

                         พยานหลักฐานทั้งปวงดังกล่าวคือ พยานบุคคล พยานเอกสารและพยานวัตถุ ตามที่บัญญัติไว้ใน
                  มาตรา ๒๒๖ ในการวินิจฉัยพยานหลักฐาน ศาลต้องค้นหาความจริง ศาสตร์แขนงหนึ่งที่ช่วยในการแยก

                  ความจริงออกจากความเท็จคือ หลักการพิสูจน์ความจริงด้วยกฎแห่งความคิด (LAWS OF THOUGHT) ซึ่งมี
                  ๔ ประการส้าคัญคือ
                                                        ั
                                                 ั
                         หลักที่ ๑ กฎแห่งความเป็นอนหนึ่งอนเดียวกัน หมายถึง เหตุการณ์อนหนึ่งจะมีความจริงได้เพยง
                                                                                   ั
                                                                                                        ี
                  ประการเดียวเท่านั้น ในเหตุการณ์เดียวกันจะมีข้อเท็จจริงหลายประการไม่ได้
                         หลักที่ ๒ กฎแห่งความขัดกัน หมายถึง ข้อที่ขัดกันย่อมแสดงว่าไม่เห็นความจริง เช่น  พยานเบิก
                  ความแตกต่างกัน ดังนี้ จะเป็นจริงไปด้วยกันทั้งสองประการไม่ได้
                         หลักที่ ๓ กฎแห่งความเป็นครึ่งๆ กลางๆ หมายถึง ข้อความใดจะเป็นจริงอย่างไร ต้องเป็นจริงอย่าง

                  นั้นเสมอไป จะจริงบ้างไม่จริงบ้าง บางครั้งก็จริงบางครั้งก็ไม่จริงไม่ได้

                         หลักที่ ๔ กฎแห่งความมีเหตุผลอนควร หมายถึง ข้อพสูจน์ในทางบวกว่าอะไรเป็นจริง ส่วนหลักที่
                                                                      ิ
                                                     ั
                                        ิ
                                                                          ิ
                  ๑ ถึงที่ ๓ ข้างต้นเป็นข้อพสูจน์ในทางลบว่าอะไรไม่จริง ถ้าไม่มีข้อพสูจน์ก็ยังเชื่อว่าจริงไม่ได้ นอกจากจะมี
                  ข้อยืนยันขึ้นมา ส่วนเรื่องความบังเอญนั้นเป็นความจริงได้ แต่ไม่เป็นเหตุผล ต้องมีพฤติเหตุอนประกอบ
                                                 ิ
                                                                                                 ื่
                  ในทางยืนยัน
                             3
                         นอกจากนี้ การจะวินิจฉัยว่าสิ่งไหนจริงสิ่งไหนเท็จต้องใช้สามัญส้านึกของคนทั่วไป หรือความน่าจะ
                  เป็นหรือความปกติธรรมดาประกอบประสบการณ์ของผู้วินิจฉัย หากข้อเท็จจริงใดขัดต่อสามัญส้านึก ขัดต่อ
                  ความน่าจะเป็น หรือขัดต่อความเป็นปกติธรรมดา ก็น่าจะเป็นความเท็จ และในการวินิจฉัยข้อเท็จจริงจาก

                                 ิ
                  พยานบุคคลต้องพจารณาจากความสามารถในการจดจ้า เวลาที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ ลักษณะของ
                  เหตุการณ์ อารมณ์ ความรู้สึก กิริยาอาการขณะให้ข้อเท็จจริง ความสมเหตุสมผลของเหตุการณ์

                  ความสามารถในการจดจ้าและการถ่ายทอด ความเป็นกลาง ความสัมพนธ์ของพยานกับคู่ความ และปัจจัย
                                                                             ั
                  อนๆที่เกี่ยวข้อง เมื่อรวมพเคราะห์แล้วอาจแยกข้อจริงและข้อเท็จได้ ส่วนการวินิจฉัยข้อเท็จจริงจากพยาน
                   ื่
                                        ิ
                  เอกสารและพยานวัตถุพจารณาจากความเป็นมา เป็นเอกสารมหาชนหรือเอกสารเอกชนมีความน่าเชื่อถือ
                                      ิ
                  เพียงใด รวมทั้งลักษณะและเนื้อหาใจความ หากไม่อาจวินิจฉัยได้ก็ต้องถามพยานบุคคลประกอบการวินิจฉัย





                         3  ศาสตราจารย์ จิตติ ติงศภัทิย์ หนังสือข้อสังเกตในการชั่งน  าหนักพยานหลักฐานและการเขียนค าพิพากษา หน้า
                  ๑๕ ,๑๖ , ๗๙-๘๐
   17   18   19   20   21   22   23   24   25   26   27