Page 511 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 511
๔๙๙
๒.๒.๑ หลักการควบคุมอาชญากรรม (Crime Control)
หลักการนี้มีความเชื่อว่ากระบวนการยุติธรรมที่ดีจะต้องมีสถิติการจับกุมผู้กระท าความผิด
เป็นจ านวนมากและผู้ที่ถูกจับกุมนั้นต้องเป็นผู้กระท าความผิดจริง การด าเนินการตามขั้นตอนของกระบวนการ
ต้องมีความรวดเร็วเด็ดขาด การค้นหาข้อเท็จจริงให้เริ่มมีขึ้นตั้งแต่เริ่มแรกของกระบวนการยุติธรรม คดีอาญา
ทั้งปวงที่เข้าสู่ระบบงานยุติธรรมทางอาญาต้องด าเนินไปตามขั้นตอนต่างๆ ที่ก าหนดไว้อย่างสม่ าเสมอ ไม่หยุดชะงัก
โดยมีกระบวนการกลั่นกรองในแต่ละขั้นตอน และขั้นตอนต่างๆ จะด าเนินไปอย่างต่อเนื่องเป็นการปฏิบัติงาน
ิ
้
ประจ าซึ่งจะมีตั้งแต่การสืบสวน การจับกุม การสอบสวน การเตรียมคดี การฟองคดี การพจารณาคดี และการ
ิ
พพากษาลงโทษผู้กระท าความผิดและปล่อยจ าเลย กระบวนการต่างๆ เหล่านี้จึงต้องมีความรวดเร็วแน่นอน
อนหมายถึงโอกาสที่ผู้กระท าความผิดจะหลุดพนจากการที่ถูกศาลพพากษาลงโทษได้น้อยที่สุด การค้นหา
้
ั
ิ
ข้อเท็จจริงในหลักการนี้พยายามให้ยุติในขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมให้มากที่สุด เช่น ให้ยุติในชั้น
พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอยการมากกว่าการน าคดีเข้าสู่ศาลโดยไม่จ าเป็น โดยเชื่อว่าการด าเนินการตาม
ั
ขั้นตอนในกระบวนการยุติธรรมควรอยู่ภายใต้อานาจของพนักงานสอบสวนและพนักงานอยการเป็นส่วนใหญ่
ั
วิธีการด าเนินตามขั้นตอนต่างๆ ที่มีประสิทธิภาพจะท าให้การวินิจฉัยแยกคดีเสร็จไปตั้งแต่ขั้นตอนต้นๆ ของ
กระบวนการยุติธรรม
๒๐
๒.๒.๒ หลักความชอบด้วยกระบวนการทางกฎหมาย (Due Process)
หลักความชอบด้วยกระบวนการทางกฎหมายมีแนวคิดตรงกันข้ามกับหลักการควบคุม
อาชญากรรมโดยเน้นหนักเรื่องการให้ความคุ้มครองสิทธิของประชาชนมากกว่าที่จะพยายามป้องกันและ
ปราบปรามอาชญากรรมซึ่งเป็นหลักการที่ยึดกฎหมายเป็นหลัก โดยเห็นว่าการด าเนินคดีอาญาจะต้องมีความ
เป็นธรรมทั้งรูปแบบและขั้นตอนต่างๆ ในกระบวนการยุติธรรม หลักการนี้ไม่เห็นพ้องกับการแสวงหา
ข้อเท็จจริงอย่างไม่เป็นทางการของหลักการควบคุมอาชญากรรมในขั้นตอนเจ้าพนักงานต ารวจและพนักงาน
อยการ แต่เห็นว่าจะต้องให้มีการพจารณาคดีหรือไต่สวนข้อกล่าวหาของผู้ต้องหาอย่างเป็นทางการเปิดเผยใน
ิ
ั
ศาลยุติธรรม หลักความชอบด้วยกระบวนการกฎหมายนี้จึงมีแนวคิดว่าบุคคลจะไม่ถูกกล่าวหาว่ากระท า
อาชญากรรมเพราะว่ามีหลักฐานว่าเขาได้กระท าเท่านั้น แต่เขาจะมีความผิดก็ต่อเมื่อผู้มีอ านาจตามกฎหมายได้
พิจารณาพิพากษาชี้ขาดแล้วว่าเขามีความผิด นอกจากนี้ ผู้มีอานาจพิจารณาพิพากษาก็จะต้องปฏิบัติตามตัวบท
ื่
กฎหมายต่างๆ ที่ให้ความคุ้มครองสิทธิของเขาอย่างถี่ถ้วน และไม่ควรปล่อยให้องค์กรอนมาวินิจฉัยข้อเท็จจริง
อ้างถึงใน อภิรัตน์ เพ็ชรศิริ และคณะ, “สิทธิมนุษยชนและกระบวนการยุติธรรมทางอาญาในประเทศไทย,”
(กรุงเทพฯ : สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมูลนิธิโครงการต าราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, ๒๕๒๙), น. ๑.
้
๒๐ ศศิวิมล เสมอใจ, "การบังคับใชกฎหมายในเรื่องการออกหมายจับโดยศาล," (วิทยานิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต
สาขากฎหมายอาญา, บัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ๒๕๕๒, น. ๗-๘.