Page 637 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 637
625
๑๑
้
ี
ิ
ประโยชน์จากสินค้าหรือได้รับบริการเป็นคนสุดท้ายอย่างแทจริง การพจารณาฐานะผู้บริโภคนั้นเพยงแค่
พจารณาว่า บุคคลนั้นเป็นผู้ซื้อสินค้าหรือผู้ใช้บริการหรือไม่เท่านั้น โดยไม่ค านึงถึงว่าจะซื้อสินค้าหรือใช้
ิ
ื่
บริการเพอการใด อนเป็นการตีความแบบไม่จ ากัด ทั้งนี้เพอให้ครอบคลุมถึงผู้บริโภคตามความเป็นจริงซึ่งไม่มี
ื่
ั
ั
นิติสัมพนธ์กับผู้ประกอบธุรกิจ เนื่องจากหลักในเรื่องความรับผิดเฉพาะคู่กรณีในสัญญา (Privity of Contract)
ในทางแพงนั้น ปัจจุบันไม่เหมาะสมกับสภาพการณ์ที่ผู้บริโภคมีโอกาสได้รับความเสียหายจากการบริโภค
่
อย่างกว้างขวาง และยังช่วยท าให้ความหมายของผู้บริโภคตรงกับความเป็นจริงและสอดคล้องกบแนวคิด
ั
ึ้
ในการคุ้มครองผู้บริโภคมากขน ซึ่งความหมายของค านิยามฝ่ายผู้บริโภคในความเป็นจริงนั้น แตกต่างจาก
ความหมายฝ่ายผู้ประกอบธุรกิจ เพราะแม้พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภคฯ มาตรา ๓ จะได้ให้ค านิยาม
ื่
“ผู้ประกอบธุรกิจ” คลอบคลุมไว้ถึง ผู้ขาย ผู้ผลิตเพอขาย ผู้สั่งหรือน าเข้ามาในราชอาณาจักร ผู้ขายหรือผู้ซื้อ
ื่
เพอขายต่อซึ่งสินค้าหรือผู้ให้บริการ และหมายความรวมถึงผู้ประกอบกิจการโฆษณาด้วยก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ให้
ความหมายของฝ่ายผู้ประกอบธุรกิจตามความเป็นจริงเช่นเดียวกับผู้บริโภค ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาในการตีความ
่
ค าว่า “ผู้ประกอบธุรกิจ” ให้เป็นไปตามหลักความรับผิดเฉพาะคู่กรณีในสัญญาทางแพง (Privity of Contract)
เท่านั้น เช่น ตามค าพพากษาฎีกาที่ ๙๐๓๔/๒๕๔๓ ซึ่งสรุปได้ว่า แม้โจทก์ได้สั่งซื้อรถยนต์คันพพาท
๑๒
ิ
ิ
จากจ าเลยที่ ๑ โดยช าระค่าจองรถยนต์รวมทั้งค่ารถยนต์บางส่วน และได้รับมอบรถยนต์จากจ าเลยที่ ๑ ก็ตาม
ั
็
แต่โจทก์กยืนยันว่า โจทก์ท าสัญญาเช่าซื้อไว้กับบริษัท ธ. จ ากัด อนแสดงโดยแจ้งชัดว่า โจทก์ได้ยอมรับแล้วว่า
บริษัท ธ. จ ากัด เป็นเจ้าของรถยนต์คันพพาท หาใช่จ าเลยที่ ๑ ไม่ มิฉะนั้นโจทก์คงไม่ช าระค่าเช่าซื้อเป็นรายงวด
ิ
ให้แก่บริษัท ธ. จ ากัด ตลอดมา โดยบริษัทดังกล่าวได้ออกใบเสร็จรับเงินให้ทุกงวด แม้แต่ค่าจองรถยนต์
จนกระทั่งโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อรถยนต์กับบริษัท ธ. จ ากัด ซึ่งบริษัทดังกล่าวได้รับมอบรถยนต์ไว้
ั
โจทก์กับจ าเลยที่ ๑ จึงหาได้มีนิติสัมพนธ์ตามลักษณะของสัญญาซื้อขายกันไม่ ส่วนที่เกี่ยวกับจ าเลยที่ ๒
ั
ก็ไม่ปรากฏว่ามีความผูกพนกับโจทก์ตามสัญญาใดที่จะท าให้ต้องรับผิดในความช ารุดบกพร่องของรถยนต์
ี
ู
ิ
คันพพาทต่อโจทก์ ล าพงเพยงการรับประกันว่า หากรถยนต์ที่จ าหน่ายมีปัญหาสามารถส่งซ่อมได้ที่ศนย์บริการ
ั
ตัวแทนจ าหน่ายและที่ศูนย์ของจ าเลยที่ ๒ มิได้หมายความว่าจ าเลยที่ ๒ ผูกพนต้องรับผิดในความช ารุด
ั
บกพร่องของรถยนต์ที่โจทก์ได้รับมอบมาตามสัญญาเช่าซื้อ เพราะความรับผิดในกรณีทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อ
ช ารุดบกพร่องโจทกย่อมเรียกร้องได้จากผู้ให้เช่าซื้อโดยตรง โจทก์จึงไม่มีอานาจฟองจ าเลยทั้งสองให้รับผิด
์
้
ในความช ารุดบกพร่องแห่งทรัพย์สินที่เช่าซื้ออนเกิดขึ้นในระหว่างเวลาเช่าซื้อนั้นได้ ทั้งที่ผู้ประกอบธุรกิจ
ั
ก็ถือเป็นหนึ่งองค์ประกอบหลักอกประการหนึ่ง ของกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค เพราะเป็นองค์ประกอบ
ี
ในทางตรงกันข้ามกับผู้บริโภค
๑๓
อย่างไรก็ตามมีค าพพากษาฎีกาออกมาตีความขยายความหมายของผู้ประกอบธุรกิจที่ต้องรับผิด
ิ
ต่อผู้บริโภคออกไปคือค าพพากษาฎีกาที่ ๔๕๖๗/๒๕๖๑ ซึ่งสรุปได้ว่า ในขณะฟองคดีแม้โจทก์จะไม่ใช่
้
ิ
๑๔
๑๑ เรื่องเดียวกัน, น. ๑๖.
๑๒ ค าพิพากษาฎีกาที่ ๙๐๓๔/๒๕๔๓
๑๓ นนทวัชร์ นวตระกูลพิสุทธิ์, กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค, พิมพ์ครั้งที่ ๑, น. ๑๗๘.
๑๔ ค าพิพากษาฎีกาที่ ๔๕๖๗/๒๕๖๑