Page 144 - ดุลพาห เล่ม3.indd
P. 144

ดุลพาห




               ส่วนผู้ถูกปล่อยตัวตามพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษปี ๒๕๕๓ ถึง ๒๕๕๕ ประมาณ
               ปีละ ๓๐,๐๐๐ คน สถิติการทำาผิดเงื่อนไขของผู้ได้รับการพักการลงโทษไม่แน่นอน บางปี

               อยู่ที่ร้อยละ ๓ บางปีถึงร้อยละ ๑๗ ผู้ได้รับการลดวันต้องโทษผิดเงื่อนไขอยู่ระหว่างร้อยละ

               ๒ ถึง ๕ ส่วนสถิติการกระทำาผิดซำ้าของผู้ได้รับการอภัยโทษนั้นไม่มีการจัดเก็บไว้

                        มาตรการที่ดำาเนินการอยู่เป็นมาตรการสำาคัญที่ช่วยชะลออัตราการเติบโตของ

               จำานวนผู้ต้องขังในเรือนจำา เนื่องจากในปีที่มีการพระราชทานอภัยโทษทุกมาตรการ
               รวมกันจะปล่อยตัวผู้ต้องขังออกไปได้ปีละประมาณ ๕๕,๐๐๐ คน แต่แม้มีการพระราชทาน
               อภัยโทษติดต่อกันในปี ๒๕๕๓ ถึง ๒๕๕๕ ก็ยังปรากฏว่าจำานวนผู้ต้องขังในเรือนจำาเพิ่มขึ้น

               สูงมาก แสดงให้เห็นว่ามาตรการที่ดำาเนินการอยู่ไม่อาจแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน นอกจากนั้น

               การพึ่งพามาตรการของฝ่ายบริหารมากเกินไปเปรียบเสมือนระเบิดเวลาของระบบการลงโทษ
               ของไทย เพราะต้องยอมรับว่าการให้ฝ่ายบริหารมีดุลพินิจอย่างมากในการกำาหนดระยะเวลา
               ที่ผู้ต้องขังต้องรับโทษจริง อาจพิจารณาได้ว่าเป็นการทำาลายความศักดิ์สิทธิ์ของคำาพิพากษา

               และกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อกระบวนการยุติธรรม

                        มาตรการลดระยะเวลาที่ผู้ต้องขังอยู่ในเรือนจำาที่ควรคำานึงถึงคือการทบทวน

               อัตราโทษอาญาทั้งระบบว่ามีความเหมาะสมแล้วหรือไม่ การจำาคุกเป็นระยะเวลานานไม่ได้

               หมายความว่าจะทำาให้สังคมได้ประโยชน์หรือมีความปลอดภัยมากขึ้น เพราะในทุกสังคม
               ผู้ที่ถูกจับกุมดำาเนินคดีและจำาคุกคิดเป็นสัดส่วนเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเมื่อเทียบกับผู้กระทำา
               ความผิดทั้งหมด การแก้ไขกฎหมายอาญาเพื่อเพิ่มอัตราโทษให้สูงขึ้นนั้นมิได้หมายความว่า

               เมื่อเพิ่มอัตราโทษแล้วจะลดลงไม่ได้ หากโทษที่สูงนั้นมิได้สัดส่วนกับความผิดทั้งไม่เกิด
               ผลในการป้องปรามอาชญากรรม เพียงแต่เป็นสิ่งที่นักการเมืองไม่ว่าประเทศใดในโลกไม่ค่อย

               เต็มใจที่จะทำาเท่านั้น ในอดีตเมื่อครั้งยังบังคับใช้กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. ๑๒๗ และเมื่อ
               ครั้งประกาศใช้ประมวลกฎหมายอาญาจนกระทั่งก่อนปี ๒๕๑๔ โทษจำาคุกแบบมีกำาหนด

               เวลาสูงสุดในระบบกฎหมายไทย ที่ไม่รวมโทษจำาคุกตลอดชีวิตคือ จำาคุก ๒๐ ปี เท่านั้น
               การแก้ไขประมวลกฎหมายอาญาในปี ๒๕๑๔ โดยคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินทำาให้สามารถ

               จำาคุกได้ถึง ๕๐ ปี หรือนานกว่านั้น แม้มีการแก้ไขมาตรา ๙๑ ในเวลาต่อมา แต่ไม่ได้
               มีการแก้ไขบทบัญญัติเรื่องการเพิ่มโทษ ลดโทษประหารชีวิต จำาคุกตลอดชีวิตด้วย ทำาให้

               กำาหนดโทษในระบบกฎหมายสูงเกินสมควรจนไม่ได้สัดส่วนกับความผิด และไม่เกิดประโยชน์
               ไม่ว่าอธิบายด้วยทฤษฎีการลงโทษใด เมื่อในแผนการปฏิรูปประเทศได้ตั้งเป้าหมายของ





               กันยายน - ธันวาคม ๒๕๖๑                                                     133
   139   140   141   142   143   144   145   146   147   148   149