Page 171 - ดุลพาห เล่ม3.indd
P. 171

ดุลพาห




                     ๓. ความรวดเร็ว รักษาความลับ ทำาเป็นหนังสือ และเป็นไปตามสภาพการจ้าง
                     สุภาษิตของกฎหมายบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า “ความล่าช้าไม่ใช่ความยุติธรรม” ดังนั้น

            กระบวนการดำาเนินการทางวินัยและลงโทษ นอกจากจะต้องโปร่งใสตรวจสอบได้อธิบายได้

            แก่ทุกๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้องแล้ว จะต้องมีความรวดเร็ว ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการรวบรวมพยาน
            หลักฐานมิให้สูญหายหรือให้ครบถ้วนหรือเพื่อมิให้ความจำาของพยานลืมเลือนหรือเกิดการ

            Lobby กันนอกรอบ ทั้งช่วยให้พยานที่มาให้ถ้อยคำามีความน่าเชื่อถือเพราะมาให้ถ้อยคำาทันที
            ทันใดหลังประสบเหตุซึ่งจะเป็นประโยชน์มากในกรณีขึ้นศาล ป้องกันผู้กระทำาผิดไปยุ่งเกี่ยว

            กับพยานหรือข่มขู่พยานต้องรักษาไว้เป็นความลับ  ทำาเป็นหนังสือ และหากมีการลงโทษ
                                                                      ๑๕
                                                       ๑๔
            ผู้กระทำาผิดและสังคมส่วนรวมเห็นได้ทันทีทันใด หรือในเวลาไม่นานก็จะช่วยตอกยำ้าความเชื่อ
            ที่ว่า “ทำาดีได้ดี ทำาชั่วได้ชั่ว”ประการสำาคัญในการดำาเนินการทางวินัยหากมีระเบียบกำาหนดไว้

            ต้องเดินไปตามนั้น ๑๖





            ๑๔. การดำาเนินการทางวินัยต้องเป็นความลับนี้มีความสำาคัญมาก  ประการแรกในกรณีที่มีการตั้งคณะ
              กรรมการสอบสวน  ถ้ากรรมการบางคนนำาข้อเท็จจริงที่ตนได้รับทราบมาจากการสอบสวนไปบอกผู้ที่
              เกี่ยวข้องก็จะเกิดความไม่เป็นธรรม หรือบางกรณีเมื่อจำาเป็นต้องลงโทษโดยเสียงส่วนใหญ่ก็ไปบอกว่า
              ตนเองไม่เห็นด้วย เข้าทำานอง “ดีใส่ตัวชั่วใส่คนอื่น” ก็มี ประการที่สอง เพื่อรักษาความปลอดภัยของ
              พยาน และประการที่สาม ป้องกันการเอาเป็นเยี่ยงอย่างของลูกจ้างอื่นในกรณีที่ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับ
              การสอบสวน  เป็นกรณีการคดโกง  หรือ  ทุจริตแพร่กระจายออกไปในวงกว้างภายในองค์กรอาจเป็น
              โอกาสให้เกิดการเอาอย่างก็ได้ ดังนั้นจึงต้องทำาการสอบพยานบุคคลทีละคนไม่ใช่พร้อมกัน.
            ๑๕.  การทำาเป็นหนังสือนี้มีความสำาคัญมากเพราะ  เมื่อสอบข้อเท็จจริงแล้วผู้ที่เกี่ยวข้องลงนามยอมรับข้อ
              เท็จจริงในหนังสือก็ถือว่าปิดปากไม่ให้ลูกจ้างผู้กระทำาผิดปฏิเสธได้ อย่างไรก็ดี ในตอนต้นของบันทึก
              ถ้อยคำาต้องมีเนื้อหานำาเสมอว่า ลูกจ้างได้ให้ถ้อยคำาด้วยความสมัครใจ ปราศจากการบังคับ ข่มขู่ ของผู้
              ลงมือสอบสวน ทั้งตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.๒๕๕๑
              ซึ่งแก้ไข มาตรา ๑๑๙ วรรคสุดท้าย มาเป็นความว่า “การเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชยตามวรรคหนึ่ง ถ้า
              นายจ้างไม่ได้ระบุข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุที่เลิกจ้างไว้ในหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้าง หรือไม่ได้แจ้งเหตุที่เลิก
              จ้างให้ลูกจ้างทราบในขณะที่เลิกจ้าง นายจ้างจะยกเหตุนั้นขึ้นอ้างในภายหลังไม่ได้” ดังนั้นถ้าการสอบสวน
              ทำาเป็นหนังสือ  และมีความชัดเจน ย่อมช่วยให้การระบุข้อเท็จจริงในหนังสือเลิกจ้างมีความชัดเจน และ
              มีผลต่อเนื่องให้การดำาเนินกระบวนพิจารณาคดีในชั้นศาลแรงงาน สำาหรับฝ่ายนายจ้างมีความสะดวก ง่าย
               และไม่เสียเปรียบอย่างแน่นอน.
            ๑๖. แต่หากไม่ดำาเนินไปตามนั้น และมีการเลิกจ้างถามว่า การเลิกจ้างจะเสียไปและเป็นเหตุให้เกิดกรณีเลิก
              จ้างไม่เป็นธรรมหรือไม่ ตอบว่า เพราะการเลิกจ้างจะไม่เป็นธรรมหรือไม่ ต้องดูที่เนื้อหาหรือเหตุแห่ง
              การเลิกจ้างเท่านั้น ตามนัยคำาพิพากษาฎีกาที่ ๔๗๓๖/๒๕๓๗, ๖๘๓๗/๒๕๓๙.





            160                                                              เล่มที่ ๓ ปีที่ ๖๕
   166   167   168   169   170   171   172   173   174   175   176