Page 177 - ดุลพาห เล่ม3.indd
P. 177
ดุลพาห
การพักงานซึ่งเป็นโทษนี้ หากมีการดำาเนินการทางวินัยมาโดยถูกต้องตาม
ข้อบังคับ หรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมาตามลำาดับแล้ว ก็ย่อมพักงานและไม่จ่าย
ค่าจ้างแก่ลูกจ้างไปพร้อมกันได้ ๒๘
๒๙
• ตัดหรือลดค่าจ้างหรือสิทธิประโยชน์หรือสวัสดิการ
การตัดค่าจ้างนี้หากนำามาตรา ๗๖ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.
๒๕๔๑ มาปรับใช้ ย่อมไม่สามารถทำาได้เลยทั้งในระยะสั้นหรือระยะยาว ซึ่งผู้เขียนไม่เห็นด้วย
รายละเอียดของความเห็นปรากฏตามเชิงอรรถหมายเลข ๒๙ สำาหรับสิทธิประโยชน์ หรือ
๒๘. คำาพิพากษาศาลฎีกาที่ ๙๓๓๐/๒๕๔๒ ความว่า “ศาลฎีกาคดีแรงงานตรวจสำานวนประชุมปรึกษาแล้ว ที่
จำาเลย (นายจ้าง) ไม่ได้สั่งพักงานโจทก์ (ลูกจ้าง) ในระหว่างรอการสอบสวน แต่เป็นการสั่งพักงาน
เมื่อมีการสอบสวนโจทก์เสร็จสิ้นแล้ว และผลการสอบสวนเป็นความผิดของโจทก์ ทั้งโจทก์ยอมรับว่าได้
กระทำาความผิดจริงเป็นการลงโทษทางวินัย หาใช่เป็นการสั่งพักงานโจทก์เพื่อการสอบสวนตามมาตรา
๑๑๖ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ไม่ เมื่อโจทก์ยอมรับว่าโจทก์กระทำาความผิดจริง
จำาเลยมีอำานาจลงโทษโจทก์ด้วยการพักงานได้
ดังนั้น การพักงานตามฟ้องของโจทก์จึงเป็นการพักงานเนื่องจากการลงโทษทางวินัยแก่โจทก์ และ
โจทก์กระทำาความผิดตามที่โจทก์แถลงรับ มิใช่กรณีที่นายจ้างสั่งพักงานระหว่างทำาการสอบสวนลูกจ้าง
ซึ่งถูกกล่าวหาว่ากระทำาความผิดตามมาตรา ๑๑๖ และ ๑๑๗ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน
พ.ศ. ๒๕๔๑ ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยให้จำาเลยจ่ายค่าจ้างระหว่างพักงานแก่โจทก์ตามบทกฎหมาย
ข้างต้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำาเลยฟังขึ้น พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง”.
๒๙. การลงโทษ ตัดค่าจ้าง หรือลดค่าจ้างนี้ ต้องพิจารณามาตรา ๗๖ พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑
ประกอบ ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าว ห้ามหักค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำางานวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุด
ของลูกจ้าง เว้นแต่หักเพื่อชำาระภาษี ค่าบำารุงสหภาพ ชำาระหนี้สหกรณ์ เงินประกันหรือชดใช้ค่า
เสียหายแก่นายจ้าง หักเป็นเงินสะสมโดยได้รับความยินยอมของลูกจ้าง ซึ่งอยู่ในหมวดที่ ๕ โดยมี
เจตนารมณ์คุ้มครองการจ่ายบรรดาเงินที่กล่าวมาแล้ว ซึ่งเป็นอีกส่วนหนึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องวินัยและ
การลงโทษเลย บทบัญญัติดังกล่าวมีที่มาจากข้อ ๓๐ ของประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการ
คุ้มครองแรงงาน ความว่า “ในการจ่ายค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา และค่าทำางานในวันหยุด นายจ้างจะนำาหนี้
อื่นมาหักมิได้” ซึ่งถูกยกเลิกใช้โดย พ.ร.บ. ดังกล่าว แต่ขยายความให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้นเพราะ
บทบัญญัติเดิมไม่ชัดเจน คงมีแต่คำาพิพากษาของศาลฎีกา เช่น ฎีกาที่ ๓๕๔๖-๗/๒๕๒๔, ๑๒๕๗/๒๕๓๑ เช่น
วินิจฉัยว่า หนี้อื่น หมายถึง หนี้ที่ไม่เกี่ยวกับการทำางาน เช่น หนี้ส่วนตัวระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง หรือ
ฎีกาที่ ๓๖๐๘/๒๕๒๔ วินิจฉัยว่า หนี้ที่ยังมีข้อต่อสู้อยู่หักไม่ได้ เป็นต้น มาตรา ๗๖ จึงเพียงพยายามสื่อ
ความหมายของหนี้ที่สามารถนำาหักจากค่าจ้างให้ชัดเจนเท่านั้น เพื่อแก้ปัญหาในอดีต ซึ่งหากวิเคราะห์
มาตรา ๗๖ ในทุก ๆ อนุมาตราแล้วจะพบว่า อนุญาตให้หักค่าจ้างเพื่อชำาระหนี้ระหว่างนายจ้าง
กับลูกจ้าง หรือหนี้ซึ่งลูกจ้างมีภาระผูกพันต้องจ่ายต่อบุคคลภายนอกทั้งสิ้น ซึ่งเป็นคนละเรื่องคนละ
กรณีกับโทษตัดค่าจ้างหรือลดค่าจ้างอันเป็นเรื่องของวินัยและการลงโทษตามข้อบังคับการทำางานหรือ
ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง อันอยู่ในหมวดที่ ๙ ว่าด้วยการควบคุม แต่ทางกระทรวงแรงงานฯ
พยายามตีความว่ามาตรา ๗๖ นี้ ห้ามไปถึงการลงโทษตัดค่าจ้างหรือลดค่าจ้าง ซึ่งผิดเจตนารมณ์ของ
กฎหมายและขัดกับลักษณะสำาคัญของสัญญาจ้างแรงงาน ซึ่งนายจ้างต้องมีอำานาจบังคับบัญชาหรือ
อำานาจให้คุณให้โทษนั่นเอง ทั้งยังทำาให้นายจ้างมีทางเลือกที่น้อยลงในการลงโทษลูกจ้าง ซึ่งกลับกลาย
เป็นผลร้ายต่อลูกจ้างมากกว่าผลดี หากจะตีความมาตรา ๗๖ นี้อย่างคับแคบเช่นที่กล่าวมาแล้วนี้.
166 เล่มที่ ๓ ปีที่ ๖๕