Page 180 - ดุลพาห เล่ม3.indd
P. 180
ดุลพาห
การดำาเนินการทางวินัยแก่พนักงานผู้ถูกกล่าวหาต่อไป เช่น เหตุการณ์เกิดขึ้นที่ไหน ใครเป็น
ผู้เริ่มต้น มีใครอีกบ้างที่เกี่ยวข้อง การกระทำาเกี่ยวข้องกับเครื่องมือหรืออุปกรณ์ หรือเอกสาร
อะไรบ้าง เหตุเกิดเมื่อใด พฤติกรรมดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหายอะไร เช่น เสียหายต่อ
อำานาจปกครองบังคับบัญชา ทรัพย์สิน ร่างกายของพนักงานอื่น หนทางทำามาหาได้ของ
นายจ้างหรือเป็นพฤติกรรมที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกิจการของนายจ้างอย่างชัดเจน พยานรู้เห็นมีใคร
บ้างก็ควรสอบปากคำาไว้ด้วย รวมถึงการทำาแผนที่ที่เกิดเหตุ หรือ แบบจำาลองการเกิดเหตุใดๆ
เป็นต้น กล่าวโดยสรุปแล้วต้องสอบเห็นว่า What Why Where When Who How นั่นเองแล้ว
๒. การเปิดโอกาสให้พนักงานผู้ถูกกล่าวได้มีโอกาสต่อสู้หรือชี้แจงข้อกล่าวหา
อย่างเต็มที่ ทั้งนี้เพื่อให้เขาแสดงว่าจะปฏิเสธหรือยอมรับในข้อกล่าวหา ถ้าเขาปฏิเสธมีเหตุผล
๓๕
๓๔
อะไรหรือมีที่มาที่ไปของการกระทำาอย่างไร ก็ให้ระบุโดยชัดเจน หรือมีข้อต่อสู้ว่า ป้องกัน
หรือบันดาลโทสะ ก็ว่ากันมา ถ้ายอมรับก็ควรให้แสดงเหตุผลด้วยว่าเจตนา หรือประมาท
เลินเล่อ หรือเป็นเหตุสุดวิสัยอันไม่มีใครสามารถป้องกันแก้ไขได้ เป็นต้น การให้การหรือการ
ต่อสู้ข้อกล่าวหานี้อาจทำาด้วยหนังสือ หรือวาจาก็ได้ แต่ถ้าเขาให้การด้วยวาจาเมื่อให้การเสร็จ
สมควรบันทึกถ้อยคำาโดยอ่านให้ฟังและให้ลงลายมือชื่อรับรองการบันทึกถ้อยคำานั้นด้วย แต่ถ้า
พนักงานผู้ให้ถ้อยคำาไม่อยากลงชื่อรับรองก็ไม่จำาเป็นที่จะต้องบังคับ เพียงแต่แก้ไขเหตุการณ์
เฉพาะหน้าโดยบันทึกต่อไปด้วยตัวผู้จดบันทึกเองว่า “อ่านให้ฟังแล้ว แต่พยานไม่ลงลายมือ
ชื่อรับทราบ” ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว
๓๔. เช่น ทำาไมจึงมาสาย...รถติดหรือเกิดอุบัติเหตุ ทั้งสามารถดูจากสถิติการเข้าออกงานเก่าๆของพนักงานได้,
ทำาไมตามระเบียบเมื่อซ่อมรถเสร็จและมีการเปลี่ยนอะไหล่ ทำาไมชิ้นส่วนเดิมจึงไม่คืนลูกค้า...หลงลืมหรือ
ทิ้งไปแล้ว, ทำาไมจึงมีเช็คของพนักงานเองชำาระหนี้แทนลูกค้า...เนื่องจากลูกค้าชำาระเป็นเงินสดจึงนำาเข้า
บัญชีตนเองแล้วออกเช็คของตนให้แทนเพื่อความปลอดภัยในระหว่างการเดินทาง, ทำาไมรายงานว่าไป
ทำางานหรือออกทริปจังหวัดแม่ฮ่องสอน แต่นำาบิลโรงแรมจังหวัดเชียงใหม่มาเบิกหรือเคลียร์เงิน
ทดรอง...เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ผู้สอบสวน ต้องสืบหรือเสาะหาให้ได้ความชัดเจน ซึ่งจะต้องพินิจพิเคราะห์ว่า
ข้อเท็จจริงจะต้องไม่ขัดกับธรรมชาติของเหตุการณ์ และในเรื่องเดียวกันเหตุการณ์ที่เกี่ยวเนื่องกันต้อง
ไม่ขัดแย้งกัน.
๓๕. ในคดีนี้เรื่องหนึ่งจากประสบการณ์ตรงของผู้เขียน หัวหน้างานผู้หญิงมาฟ้องที่ฝ่ายบุคคลว่า ลูกน้อง
หญิงคนหนึ่งมาด่าตนเองว่า “ไปแหกหีให้ใครเอามา” ซึ่งเป็นกรณีที่ร้ายแรง ดูหมิ่นเหยียดหยามผู้บังคับ
บัญชาโดยตรง อันเป็นความผิดร้ายแรงแล้ว แต่จากการสอบข้อเท็จจริงจากลูกจ้างหญิงผู้ถูกกล่าวหา
พบว่า หัวหน้างานหญิงใช้วาจาไม่สุภาพต่อลูกน้องหญิงผู้นั้นก่อน โดยกล่าวว่า “อีขี้เกียจ โง่ บ้าผู้ชาย
ไม่ยอมทำางาน” ลูกน้องหญิงผู้นั้นจึงโกรธและสวนคำาพูดออกไปดังกล่าวข้างต้น กรณีจึงเป็นเรื่องของ
การบันดาลโทสะและทะเลาะวิวาทกัน ไม่ใช่กรณีดูหมิ่นเหยียดหยามผู้บังคับบัญชาโดยตรง.
กันยายน - ธันวาคม ๒๕๖๑ 169