Page 181 - ดุลพาห เล่ม3.indd
P. 181

ดุลพาห




                     ภาคปฏิบัติจริงในชั้นการให้พนักงานผู้ถูกกล่าวได้มีโอกาสต่อสู้หรือชี้แจงนี้ ผู้สอบสวน
            มีข้อพึงระวังดังนี้


                     (๑) ในการรับฟังถ้อยคำาของพนักงานผู้ถูกกล่าวหา ผู้สอบสวนพึงมีอาการอันสงบ

            นิ่ง แม้ถ้อยคำาที่เขากล่าวมาจะไม่น่ารับฟังหรือในสายตาของผู้สอบสวนอาจจะเห็นว่าไร้เหตุ
            ผลใดๆ รองรับก็ตามก็ไม่ควรแสดงอาการหลอกล่อหรือข่มขู่หรือจูงใจให้เขารับหรือสารภาพ

            ตามที่ผู้สอบสวนต้องการ

                     (๒) หากข้อบังคับการทำางานของนายจ้างก็ดี หรือข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพจ้างอื่นก็ดี

            กำาหนดให้มีเงื่อนไขการสอบสวนหรือรับฟังข้อเท็จจริงไว้เป็นประการใด ก็ต้องดำาเนินการตาม
            นั้นโดยเคร่งครัด หากไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนถือว่าการสอบสวนหรือรับฟังข้อเท็จจริงไม่ชอบด้วย

                                                                                        ๓๖
            ข้อบังคับ พนักงานผู้ถูกสอบสวนสามารถฟ้องให้เพิกถอนผลการสอบสวนที่ไม่ชอบนั้นได้
                     (๓) ถ้าพนักงานผู้ถูกกล่าวหายอมรับว่าผิดข้อบังคับการทำางานจริง ให้บันทึกคำารับ

            สารภาพนั้นและให้เขาลงลายมือชื่อรับรองไว้ด้วย ในกรณีนี้อาจทำาได้ ๒ ประการ โดยอาจ

            รวบรวมข้อเท็จจริงต่อไป ตามสมควรพอประมาณ  หรือสามารถสรุปข้อเท็จจริงได้เลย โดย
            ให้พิจารณาจากระเบียบว่าด้วยการสอบสวนของแต่ละสถานประกอบการด้วย (ถ้ามี)


                     หลังจากนั้นจึงให้สรุปข้อเท็จจริงแล้วทำาบันทึกเสนอข้อกำาหนดโทษ หรือวินิจฉัยว่า
            ไม่เป็นความผิดให้ฝ่ายจัดการตัดสินใจต่อไป อนึ่ง ในสถานประกอบการขนาดใหญ่ มีพนักงาน

                                                                      ๓๗
            จำานวนมาก มักมีข้อบังคับกำาหนดว่า ถ้าลูกจ้างกระทำาผิดร้ายแรง  ซึ่งมักมีโทษถึงเลิกจ้าง
            ก่อนลงโทษให้ตั้งกรรมการสอบสวนก่อน เว้นแต่ความผิดนั้นชัดแจ้งหรือผู้กระทำาผิดให้การ

            สารภาพ ก็ไม่ต้องตั้งกรรมการสอบสวนนั้น คำาว่าความผิดชัดแจ้งนี้หมายถึง ต้องมีพยาน
            หลักฐานยืนยันชัดเจน เช่น ความผิดฐานละทิ้งหน้าที่ ๓ วันติดต่อกัน ซึ่งหลักฐานสามารถดูจาก

            การ์ดตอกบัตร เป็นต้น หากเป็นการรับสารภาพต้องวิเคราะห์ให้ดีว่ารับหรือปฏิเสธกันแน่ เช่น

            ความผิดบางลักษณะจะต้องพิจารณาด้วยว่า ลูกจ้างเจตนา หรือจงใจกระทำาผิดหรือไม่  ตัวอย่าง


            ๓๖. คำาพิพากษาศาลฎีกา ๑๔๖๔/๒๕๒๗.
            ๓๗. คำาพิพากษาศาลฎีกาที่  ๕๕๖๘/๒๕๓๐  การกระทำาความผิดร้ายแรงหรือไม่  อยู่ที่สภาพแห่งการกระทำา
              ไม่ใช่จำานวนครั้งของการกระทำา  หรือขึ้นอยู่กับข้อบังคับการทำางานของนายจ้าง,  ในทางตรงกันข้ามใน
              กรณีเป็นความผิดร้ายแรงแต่ตามข้อบังคับของนายจ้างกำาหนดโทษไว้แต่สถานเบา นายจ้างจะลงโทษ
              อย่างร้ายแรงไม่ได้ เพราะข้อบังคับซึ่งเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างกำาหนดไว้เป็นคุณยิ่งกว่าจึง
              ต้องบังคับตามนั้น.



            170                                                              เล่มที่ ๓ ปีที่ ๖๕
   176   177   178   179   180   181   182   183   184   185   186