Page 410 - สารานุกรมพืช ในประเทศไทย (ฉบับย่อ) เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ E-BOOK โดย พระครูโสภณวีรานุวัตร, ดร. วัดป่า สุพรรณบุรี.
P. 410

ว่านตรุ


                ว่านตรุ             สารานุกรมพืชในประเทศไทย            พบที่ ลาว และกัมพูชา ในไทยพบกระจายห่าง ๆ ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
                Epigynum cochinchinensis (Pierre) D. J. Middleton    และภาคตะวันออก ขึ้นตามป่าเต็งรัง และป่าเบญจพรรณ ความสูง 100-600 เมตร
                วงศ์ Apocynaceae                                      เอกสารอ้างอิง
                  ชื่อพ้อง Nouettea cochinchinensis Pierre             Larsen K. (1972). Studies in the genus Globba in Thailand. Notes from the
                                                                          Royal Botanic Garden, Edinburgh 31: 229-241.
                   ไม้เถา มีขนสั้นหนานุ่มตามกิ่ง ช่อดอก และผล น�้ายางขาว ใบเรียงตรงข้าม   Wu, D. and K. Larsen. (2000). Zingiberaceae. In Flora of China Vol. 24: 358.
                รูปรี รูปขอบขนาน หรือรูปไข่กลับ ยาว 7-23 ซม. ปลายแหลมยาวหรือยาวคล้ายหาง
                โคนกลมหรือเว้าตื้น แผ่นใบมีขนประปราย ช่อดอกแบบช่อกระจุกแยกแขนงสั้น ๆ
                คล้ายช่อซี่ร่ม ยาวได้ถึง 13 ซม. ตาดอกเรียวแคบ กลีบเลี้ยงยาว 2-4 มม. ดอกรูป
                ดอกเข็ม สีขาวหรืออมชมพู กลีบเรียงซ้อนทับด้านขวาในตาดอก หลอดกลีบดอก
                ยาว 3-5 ซม. กลีบรูปไข่กลับ ยาว 1.5-2 ซม. ด้านนอกมีขนละเอียด ด้านในมีขน
                สั้นนุ่ม เกสรเพศผู้ 5 อัน ติดใกล้โคนหลอดกลีบดอก อับเรณูยาว 0.7-1 ซม. โคน
                เป็นเงี่ยง ช่วงที่เป็นหมันแนบติดยอดเกสรเพศเมีย จานฐานดอกมี 5 พู แยกกัน
                มี 2 คาร์เพล เกลี้ยง ปลายติดกันเรียวยาวเป็นก้านเกสรเพศเมีย ยาวได้ถึง 2 ซม.
                รวมยอดเกสร ผลติดเป็นฝักคู่ ยาว 30-35 ซม. เมล็ดแบน กระจุกขนยาวประมาณ 3 ซม.
                   พบที่พม่าและเวียดนาม ในไทยพบแทบทุกภาค ขึ้นตามป่าเต็งรัง ป่าดิบแล้ง   ว่านทับทิมสยาม: ใบไร้ก้าน ใบประดับสีชมพูอมม่วง พับขึ้นและบิดเล็กน้อย (ภาพ: ภูวัว บึงกาฬ - NT)
                และป่าดิบชื้น ความสูงถึงประมาณ 800 เมตร ชื่อ ว่านตรุ มาจากภาษาเขมร ‘วันตรือ’
                ที่ใช้เรียกในจันทบุรี                                ว่านนางตัด
                                                                     Labisia pumila (Blume) Fern.-Vill.
                   สกุล Epigynum Wight มี 6 ชนิด ในไทยพบ 3 ชนิด ชื่อสกุลมาจากภาษาละติน
                   “epi” ด้านนอก และภาษากรีก “gynon” เพศเมีย ตามลักษณะช่วงอับเรณูที่เป็นหมัน  วงศ์ Myrsinaceae
                   แนบติดยอดเกสรเพศเมีย                               ชื่อพ้อง Ardisia pumila Blume, Marantodes pumilum (Blume) Kuntze
                                                                       ไม้ล้มลุก มีเหง้า ล�าต้นสั้น มีเกล็ดสีน�้าตาลแดงหนาแน่นตามต้น แผ่นใบด้านล่าง
                  เอกสารอ้างอิง
                   Middleton, D.J. (1999). Apocynaceae. In Flora of Thailand Vol. 7(1): 119.  ก้านใบ และช่อดอก ใบเรียงเวียนหนาแน่นที่ยอด รูปขอบขนานหรือรูปใบหอก ยาว
                                                                     10-20 ซม. โคนเรียวสอบจรดก้านใบเป็นครีบ เส้นแขนงใบจ�านวนมาก ปลายเรียง
                                                                     จรดกัน ก้านใบยาว 2.5-8 ซม. ช่อดอกแบบช่อแยกแขนงสั้น ๆ คล้ายช่อเชิงลด
                                                                     ออกตามซอกใบ ยาว 2-8 ซม. ช่อย่อยมี 1-7 ดอก ใบประดับรูปลิ่มแคบ ยาวได้ถึง
                                                                     3 มม. ก้านดอกยาว 1-2.5 มม. กลีบเลี้ยงส่วนมากมี 5 กลีบ รูปสามเหลี่ยมขนาดเล็ก
                                                                     ติดทน มีจุดโปร่งใส ดอกสีขาวหรืออมชมพู ส่วนมากมี 5 กลีบ เรียงจรดกันในตาดอก
                                                                     โคนเชื่อมติดกัน กลีบรูปสามเหลี่ยม ยาว 2.5-3 มม. ด้านนอกมีต่อมกระจาย
                                                                     เกสรเพศผู้เท่าจ�านวนกลีบดอก ติดที่โคนและพับอยู่ภายในกลีบดอก ก้านชูอับเรณูสั้น
                                                                     อับเรณูหันเข้า ปลายมีต่อม รังไข่มีเกล็ดประปราย ก้านเกสรเพศเมียยาวประมาณ
                  ว่านตรุ: ใบเรียงตรงข้าม ช่อดอกออกเป็นช่อกระจุกแยกแขนงสั้น ๆ คล้ายช่อซี่ร่ม ดอกสีชมพูหรือขาว กลีบดอก  1.5 มม. ยอดเกสรเป็นตุ่ม ผลสด ผนังชั้นในแข็ง เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4 มม.
                เรียงซ้อนทับด้านขวาในตาดอก ดอกบานรูปดอกเข็ม (ภาพซ้าย: เขาใหญ่ ปราจีนบุรี - SSi; ภาพขวา: น่าน - PK)
                                                                     สุกสีแดง มีต่อมกระจาย มีเมล็ดเดียว
                ว่านทับทิมสยาม, สกุล                                   พบที่กัมพูชา คาบสมุทรมลายู บอร์เนียว ชวา และสุมาตรา ในไทยส่วนมากพบ
                Globba L.                                            ทางภาคใต้ ขึ้นตามริมล�าธารในป่าดิบชื้น ความสูง 100-800 เมตร ส่วนต่าง ๆ มีสรรพคุณ
                วงศ์ Zingiberaceae                                   บ�ารุงครรภ์ ลดภาวะตกเลือด ช่วยให้ร่างกายฟื้นหลังการคลอด และบ�ารุงก�าลัง
                   ไม้ล้มลุก เหง้าทอดเลื้อย ลิ้นกาบเรียบ ใบเรียงเวียน ก้านใบสั้นมากหรือไร้ก้าน   สกุล Labisia Lindl. มีประมาณ 6 ชนิด พบในภูมิภาคอินโดจีนและมาเลเซีย
                ช่อดอกแบบช่อกระจะหรือช่อกระจุกแยกแขนง ออกที่ยอด ช่อดอกย่อยแบบ  ฟิลิปปินส์ และนิวกินี ในไทยมีชนิดเดียว ชื่อสกุลมาจากภาษากรีก “labis” หุ้ม
                ช่อวงแถวเดี่ยว บางครั้งมีหัวย่อย ใบประดับย่อยแยกจรดโคน กลีบเลี้ยงรูประฆัง  ตามลักษณะกลีบดอกที่หุ้มเกสรเพศผู้
                หรือรูปลูกข่าง ปลายจักมน 3 แฉก หลอดดอกเรียวแคบ กลีบดอก 3 กลีบ ยาว
                เท่า ๆ กัน แผ่นเกสรเพศผู้ที่เป็นหมันคล้ายกลีบดอก กลีบปากเชื่อมติดก้านชูอับเรณู  เอกสารอ้างอิง
                                                                       Larsen, K. and C.M. Hu. (1996). Myrsinaceae. In Flora of Thailand Vol. 6(2):
                เป็นหลอด ก้านชูอับเรณูโค้ง โคนอับเรณูส่วนมากมีรยางค์ รังไข่มีช่องเดียว   151-152.
                พลาเซนตาตามแนวตะเข็บ ผลแห้งแตกช่วงปลาย เมล็ดมีเยื่อหุ้มแหว่ง    Sunarno, B. (2005). Revision of the genus Labisia (Myrsinaceae). Blumea 50:
                                                                          579-597.
                   สกุล Globba อยู่วงศ์ย่อย Zingiberoideae เผ่า Globbeae มีมากกว่า 100 ชนิด
                   ส่วนมากพบในเอเชียเขตร้อน ในไทยมีประมาณ 50 ชนิด ชื่อสกุลมาจากภาษา
                   Amboinese ในอินโดนีเซียที่ใช้เรียกพวกขิงข่า

                ว่านทับทิมสยาม
                Globba siamensis (Hemsl.) Hemsl.
                  ชื่อพ้อง Achilus siamensis Hemsl.
                   ไม้ล้มลุก สูงได้ถึง 45 ซม. มี 3-6 ใบ รูปขอบขนานหรือรูปใบหอก ยาว 4-10 ซม.
                โคนมน แผ่นใบมีขนสั้นนุ่มทั้งสองด้าน ไร้ก้าน ช่อดอกแบบช่อกระจุกแยกแขนง
                ห้อยลง ยาว 5-12 ซม. ใบประดับสีชมพูอมม่วงหรือขาว รูปรี ยาว 1-4 ซม.
                ปลายแหลม พับขึ้นและบิดเล็กน้อย ดอกสีเหลืองอมส้ม หลอดกลีบเลี้ยงยาว
                ประมาณ 6 มม. หลอดกลีบดอกยาวประมาณ 1 ซม. ปลายแยกสามแฉก ยาว
                ประมาณ 6 มม. กลีบคู่ข้างรูปไข่กลับ พับงอกลับ กลีบปากรูปสามเหลี่ยมแคบ
                ยาวประมาณ 5 มม. ปลายแยกสองแฉก ก้านชูอับเรณูยาวประมาณ 1.3 ซม. อับเรณู  ว่านนางตัด: โคนเรียวสอบจรดก้านใบเป็นครีบ เส้นแขนงใบจ�านวนมาก ช่อดอกคล้ายช่อเชิงลด ผลมีต่อมกระจาย
                มีรยางค์ 2 คู่ ผลเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.7-1 ซม. ย่น สีม่วงอมแดง  สุกสีแดง (ภาพซ้ายและภาพขวาล่าง: เขาหลวง นครศรีธรรมราช - SSi; ภาพขวาบน: ชุมพร - RP)

                390






        59-02-089_293-398_Ency new1-3_J-Coated.indd   390                                                                 3/1/16   6:17 PM
   405   406   407   408   409   410   411   412   413   414   415