Page 13 - วารสารสุขภาพ สำนักอนามัย ปีที่ 6 ฉบับที่ 4
P. 13

การป้องกันโรคกระดูกพรุน


                  1.  การป้องกันในวัยรุ่น ควรเน้นให้มีการสะสมเนื้อกระดูกให้มากที่สุด ด้วยการเพิ่มสารแคลเซียมให้ได้
           ในปริมาณที่ร่างกายต้องการ โดยเลือกกินอาหารที่มีสารแคลเซียมสูง

                  2.  การป้องกันก่อนหมดประจ�าเดือน
           โดยพยายามรักษาปริมาณเนื้อกระดูกให้คงเดิมให้มากที่สุด

           ด้วยการรับประทานอาหารที่มีปริมาณแคลเซียมมากพอ
                  3.  การป้องกันหลังหมดประจ�าเดือน โดยเน้น

           การชะลอการถดถอยของเนื้อกระดูก  ป้องกันความเสี่ยง
           ต่อการเกิดกระดูกหักโดยเฉพาะต�าแหน่งที่อาจเกิดขึ้นบ่อย
           ได้แก่  กระดูกข้อตะโพก  กระดูกสันหลัง  และกระดูกข้อมือ

           การปฏิบัติเพื่อป้องกันโรคกระดูกพรุน


                  1.  ให้ร่างกายได้รับสารแคลเซียมในปริมาณที่เพียงพอ คือประมาณ 800-1200 มิลลิกรัมต่อวัน
           โดยเลือกกินอาหารที่มีสารแคลเซียม  เช่น  นม  เนย  ผลิตภัณฑ์จากนม  ปลาเล็กปลาน้อยพร้อมกระดูก
           ปลากระป๋องพร้อมกระดูก กุ้งแห้ง กุ้งฝอย กะปิ ถั่วแดง งาด�า ผักใบเขียวทุกชนิด และอาหารทะเล เป็นต้น

                  2.  เพิ่มการดูดซึมสารแคลเซียม  โดยการเพิ่มวิตามินดีในรูปของอาหารหรือยา  อาหารที่มีวิตามินดีสูง
           ได้แก่ นม น�้ามันตับปลา เนยแข็ง เนย ไข่ ตับ เป็นต้น รวมถึงการได้รับแสงแดดอ่อนจะช่วยเพิ่มการสังเคราะห์วิตามินดี
           ทางผิวหนัง ส�าหรับยาเสริมแคลเซียมควรกินหลังอาหาร เพื่อกระตุ้นกรดในกระเพาะอาหารให้หลั่งออกมาย่อยแคลเซียม

           ส่วนยาเคลือบกระเพาะอาหาร ซึ่งมีภาวะเป็นด่างจะมีผลท�าให้การดูดซึมแคลเซี่ยมลดลง
                  3.  ควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ดื่มเหล้าหรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ และยาบางชนิด เช่น
           ยาลูกกลอน ยากันชัก
                  4.  ควรดื่มน�้าที่มีสารฟลูออไรด์
                  5.  ออกก�าลังกายสม�่าเสมอเพื่อให้ระบบกล้ามเนื้อและกระดูกแข็งแรง ระบบหัวใจและปอดมีประสิทธิภาพ

           ในการท�างานเพิ่มขึ้น
                  6.  เพศหญิงที่ประจ�าเดือนมาไม่เป็นปกติหรือหมดประจ�าเดือนก่อนวัยอันควร  ควรได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนเสริม
           โดยขอรับค�าแนะน�าจากแพทย์




                           โดยธรรมชาติแล้วเนื้อกระดูกจะบางลงทุกปีตามอายุที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะ
                    ในกลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยงต่างๆ แต่ที่น่าตกใจ คือ ไม่มีสัญญาณหรืออาการเตือนภัยใดๆ

                    ดังนั้นจึงต้องใช้กลวิธีการป้องกันการเกิดภาวะกระดูกพรุนและการเกิดกระดูกหัก
                    เพราะหากมีภาวะดังกล่าวเกิดขึ้นแล้ว จะมีค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลสูงและอาจไม่สามารถ
                    รักษาให้กลับคืนสู่สภาพเดิมได้









                                                                                      วารสารสุขภาพ    13
                                                                                        ส�านักอนามัย
   8   9   10   11   12   13   14   15   16   17   18