Page 162 - OB
P. 162
146 บทที่ 7
ด้วย การสายหน้าหมายถึงการปฏิเสธหรือไม่เห็นด้วย เป็นต้น ซึ่งนักจิตวิทยาชื่อ Eric Burn
(อ้างถึงใน รัตติกรณ์ จงวิศาล, 2554, น. 227-228) ได้ศึกษาเรื่อง ลักษณะที่มีอิทธิพลต่อการ
สื่อสารระหว่างบุคคลโดยพบว่า ภาษาพูดมีอิทธิพลต่อการสื่อสารประมาณ 8 เปอร์เซ็นต์ ภาษา
ท่าทางมีอิทธิพลต่อการสื่อสารประมาณ 47 เปอร์เซ็นต์ และน ้าเสียงมีอิทธิพลต่อการสื่อสาร
ประมาณ 45 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจากผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า อวัจนภาษา ถือได้ว่ามีความส าคัญต่อ
การติดต่อสื่อสารมากกว่า วัจนภาษา ดังนั้น ผู้บริหาร นักบริหารทรัพยากรมนุษย์ หรือบุคคลที่
เกี่ยวข้องในองค์การควรศึกษาเรื่องกลุ่มของภาษาท่าทางหรือรับฟังเสียงที่ไม่ได้ยิน เพื่อช่วยให้
เราสามารถเข้าใจความรู้สึกของพนักงานในองค์การได้ดียิ่งขึ้น
2. จ าแนกตามลักษณะของการใช้
การติดต่อสื่อสารโดยจ าแนกตามลักษณะของการใช้ สามารถแบ่งออกเป็น 2 แบบ
ได้แก่ การติดต่อสื่อสารที่เป็นทางการ และการติดต่อสื่อสารที่ไม่เป็นทางการ ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
2.1 การติดต่อสื่อสารที่เป็นทางการ (formal communication) เป็นการติดต่อสื่อสาร
ที่มีระเบียบแบบแผนที่ชัดเจน ซึ่งเป็นไปตามสายบังคับบัญชาขององค์การ โดยอาจเป็นลาย
ลักษณ์อักษร เช่น ค าสั่งหรือประกาศขององค์การ บันทึกหรือจดหมายทางราชการ หรืออาจไม่
เป็นลายลักษณ์อักษร เช่น การสั่งงานโดยตรงระหว่างหัวหน้ากับลูกน้อง เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่
เป็นการติดต่อสื่อสารที่เกี่ยวข้องกับการด าเนินงานต่างๆ ขององค์การเป็นหลัก
2.2 การติดต่อสื่อสารที่ไม่เป็นทางการ (informal communication) เป็นการ
ติดต่อสื่อสารที่ไม่ได้เกิดขึ้นตามสายการบังคับบัญชาขององค์การ โดยการติดต่อสื่อสารที่ไม่
เป็นทางการนี้ ผู้บริหารจะไม่สามารถควบคุมการติดต่อสื่อสารได้ เช่น การทักทาย การพูดคุย
สนทนาถามทุกข์สุขทั่วไป หรือแม้แต่การซุบซิบนินทา ซึ่งการติดต่อสื่อสารที่ไม่เป็นทางการนี้
เกิดจากความต้องการหรือความชื่นชอบส่วนบุคคลที่นอกเหนือจากช่องทางการติดต่อสื่อสารที่
เป็นทางการ ซึ่งการติดต่อสื่อสารที่ไม่เป็นทางการนี้ หากพิจารณาในด้านดีก็สามารถก่อเกิด
ประโยชน์กับองค์การ โดยช่วยลดช่องว่างระหว่างบุคคล รวมถึงสร้างความสัมพันธ์ระหว่าง
บุคคลได้ดียิ่งขึ้น ตรงกันข้าม หากมีปริมาณมากเกินไป เช่น การซุบซิบนินทา ก็จะส่งผล
กระทบต่อความสัมพันธ์ของพนักงานในองค์การ และอาจน ามาสู่ความขัดแย้งในการท างาน
ตามมาอีกด้วย