Page 199 - OB
P. 199

ควำมขัดแย้ง และกำรเจรจำต่อรอง    183



                       มุมมองควำมขัดแย้งเชิงมนุษยสัมพันธ์  และมุมมองควำมขัดแย้งแบบนักปฏิสัมพันธ์ ซึ่งมี
                       รำยละเอียด ดังนี้ (Robbins & Judge, 2008, p. 212-213)



                                   2.1  มุมมองความขัดแย้งแบบดั้งเดิม เป็นมุมมองยุคแรกที่เชื่อว่ำ บรรดำควำม
                       ขัดแย้งทั้งหลำยล้วนเป็นสิ่งที่เลวร้ำย ซึ่งเป็นกำรมองควำมขัดแย้งในแง่ลบโดยมักจะถูกใช้ใน

                       ควำมหมำยที่ใกล้เคียงกับค ำว่ำ ควำมรุนแรง กำรท ำลำย หรือควำมไม่มีเหตุผล ซึ่งถือเป็นควำม

                       ขัดแย้งในเชิงลบ โดยควำมหมำยของควำมขัดแย้งในยุคนี้คือ ควำมขัดแย้งเป็นสิ่งที่อันตรำยและ
                       ต้องหลีกเลี่ยง ซึ่งผู้บริหำรไม่ควรให้เกิดควำมขัดแย้งขึ้นในองค์กำร

                                   2.2  มุมมองความขัดแย้งเชิงมนุษยสัมพันธ์ มุมมองควำมขัดแย้งเชิงมนุษย

                       สัมพันธ์เชื่อว่ำ ควำมขัดแย้งเป็นเรื่องธรรมชำติ ถือเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ที่มำอยู่รวมกัน ซึ่ง

                       สำมำรถเกิดขึ้นได้กับทุกกลุ่มหรือทุกองค์กำร และเนื่องจำกควำมขัดแย้งเป็นสิ่งที่ไม่อำจ
                       หลีกเลี่ยงได้ ดังนั้น แนวคิดเชิงมนุษยสัมพันธ์จะเรียกร้องให้ยอมรับควำมขัดแย้ง และมองว่ำไม่

                       สำมำรถก ำจัดควำมขัดแย้งให้หมดลงได้

                                   2.3  มุมมองความขัดแย้งแบบนักปฏิสัมพันธ์ ขณะที่มุมมองควำมขัดแย้งแบบ

                       ดั้งเดิมปฏิเสธควำมขัดแย้ง และมุมมองควำมขัดแย้งเชิงมนุษยสัมพันธ์ยอมรับควำมขัดแย้ง แต่
                       มุมมองควำมขัดแย้งแบบนักปฏิสัมพันธ์กลับส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดควำมขัดแย้งขึ้น

                       ด้วยเหตุผลว่ำเมื่อไรก็ตำมที่กลุ่มหรือองค์กำรเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อยู่กันอย่ำงสงบสุข คิด

                       หรือท ำสิ่งใดมักไปในทำงเดียวกันแล้ว เมื่อนั้นคือภำวกำรณ์เริ่มตกต ่ำ เสื่อมถอยขององค์กำรที่
                       เกิดจำกกำรอยู่คงที่นำนๆ ขำดกำรปรับตัวจึงไม่อำจตอบสนองต่อกำรเปลี่ยนแปลงและ

                       นวัตกรรมใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นตลอดเวลำได้ ดังนั้น มุมมองของนักปฏิสัมพันธ์ที่ส ำคัญก็คือ กระตุ้น

                       ให้คงควำมขัดแย้งไว้ในองค์กำรในระดับที่เพียงพอที่กลุ่มยังสำมำรถท ำงำนร่วมกันได้ เกิดกำร
                       วิพำกษ์วิจำรณ์กำรท ำงำนของตนเองและเกิดควำมคิดสร้ำงสรรค์ใหม่ๆ ขึ้น เพื่อพัฒนำเป้ ำหมำย

                       หรือผลลัพธ์ของงำนให้สูงขึ้น พัฒนำกระบวนกำรท ำงำนให้มีประสิทธิภำพดียิ่งขึ้น



                                 จำกมุมมองทั้ง 3  ด้ำนที่ได้กล่ำวมำข้ำงต้นนั้น ผู้เขียนได้สรุปพัฒนำกำรเกี่ยวกับ
                       มุมมองควำมขัดแย้งเป็นแผนภำพ ดังแสดงในภำพที่ 9.1
   194   195   196   197   198   199   200   201   202   203   204