Page 88 - OB
P. 88
72 บทที่ 4
White & Bednar (1991, อ้างถึงใน ภาวิณี เพชรสว่าง, 2552, น. 76) ได้ให้ความหมาย
ของ การรับรู้ ว่าเป็นกระบวนการทางจิตของบุคคลในการเลือก เรียบเรียง และแปลความหมาย
ของสิ่งเร้าจากสภาพแวดล้อมที่เห็น
วิภาดา คุปตานนท์ (2551, น. 167) ได้ให้ความหมายของ การรับรู้ ว่าเป็นกระบวนการ
ที่บุคคลถูกกระตุ้นจากสิ่งกระตุ้นหรือสิ่งเร้า โดยผ่านระบบประสาทแห่งการรับรู้ความรู้สึกทั้ง
5 ด้าน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และเมื่อบุคคลเกิดความตั้งใจที่จะรับรู้อย่างตั้งใจ แล้วจะน าไปสู่
การตีความหมายว่าสิ่งที่รับรู้นั้นหมายถึงอะไร และขั้นสุดท้ายก็มีการโต้ตอบต่อสิ่งที่รับรู้นั้น
ดังนั้น การรับรู้จึงมิใช่เพียงความรู้สึกเท่านั้น แต่เป็นกระบวนการของการตีความหมายของสิ่งเร้า
นั้นด้วย
ณัฏฐพันธ์ เขจรนันทน์ (2551, น. 58) ได้ให้ความหมายของ การรับรู้ ว่าเป็นกระบวนการ
ที่บุคคลรวบรวมและเปลี่ยนแปลงความประทับใจของตนเองจากประสบการณ์ที่ผ่านมา เพื่อให้
ความหมายกับสภาพแวดล้อมหรือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเขา ซึ่งการรับรู้เป็นการท างานขั้นแรกสุด
ของร่างกายในการติดต่อกับสภาพแวดล้อมภายนอก โดยผ่านประสาทสัมผัสทาง ตา หู จมูก ลิ้น
และผิวหนัง ท าให้ร่างกายเรียนรู้ต่อบรรดาสิ่งเร้าต่างๆ โดยบุคคลจะให้ประสบการณ์ที่สะสมมา
แปลความหมายของสิ่งเร้าผ่านประสาทสัมผัส และเกิดความรู้สึก ระลึก หรือรู้ความหมาย
จากการให้ความหมายดังกล่าว สามารถสรุปได้ว่า การรับรู้ หมายถึง กระบวนการ
ที่บุคคลพยายามท าความเข้าใจและให้ความหมายกับ (สิ่งเร้า) สิ่งที่บุคคลได้สัมผัสผ่านประสาท
สัมผัสต่างๆ ของร่างกาย
2. ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการรับรู้
จากความหมายของการรับรู้ ซึ่งอธิบายว่าการรับรู้เป็นกระบวนการท าความเข้าใจ
และให้ความหมายกับสิ่งเร้าที่บุคคลได้สัมผัสผ่านประสาทสัมผัสต่างๆ ของร่างกาย อย่างไรก็
ตาม การรับรู้ของแต่ละคนอาจมีความแตกต่างกันไป โดยเราจะเห็นได้จากหลายๆ เหตุการณ์ ที่
แต่ละบุคคลอาจเห็นหรือสัมผัสสิ่งเร้าเดียวกัน แต่กลับมีการรับรู้และแปลความหมายที่แตกต่าง
กัน ตัวอย่างเช่น เมื่อท่านดูภาพที่ 4.1 ท่านเห็นอะไร (รับรู้และแปลความหมายของสิ่งเหล่านี้ว่า
คืออะไร)