Page 28 - TH Edition Ver3
P. 28

26


                         ในมหาศีลข้อ 5 ทรงอธิบายถึง เดรัจฉานวิชาที่เป็นการเลี้ยงชีพที่ผิด ที่ทรงเว้นขาด จนท า

               ให้บุคคลทั้งหลายยกย่อง ซึ่งเดรัจฉานวิชาในมหาศีลข้อนี้ มีอยู่ 13  อย่าง  เช่น วิชาฉันทลักษณ์ และ
               โลกายตศาสตร์ (ศิลปะแห่งการเอาชนะผู้อื่น ในเชิงวาทศิลป์ ฯลฯ เป็นต้น)

                         ในมหาศีลข้อ 6  เป็นธรรมบรรยายที่ทรงแสดงถึง เดรัจฉานวิชาที่เกี่ยวกับการให้ฤกษ์ยาม

                                    ิ
               และการร่ายมนต์เพื่อท าพธีต่างๆ มีอยู่ 20 อย่าง เช่น ให้ฤกษ์อาวาหมงคล ฤกษ์วิวาหมงคล ฤกษ์เรียง
               หมอน ฯลฯ เป็นต้น

                                                                                      ุ
                         ในมหาศีลข้อ 7 ทรงอธิบายถึงเดรัจฉานวิชาที่เป็นการเลี้ยงชีพที่ผิด ที่พระพทธองค์ทรงเว้น
                                                   ิ
               ขาด ได้แก่เดรัจฉานวิชาที่เกี่ยวกับการท าพธีกรรมต่างๆเช่น พธีบนบาน พธีแก้บน ร่ายมนต์ขับผี ตั้ง
                                                                             ิ
                                                                   ิ
               ศาลพระภูมิ ฯลฯ เป็นต้น มีอยู่ 26 อย่าง
                         จะเห็นได้ว่า ในมหาศีลทั้ง  7  ข้อ เมื่อรวมเดรัจฉานวิชาที่ทรงอธิบายจะมีอยู่ไม่น้อยกว่า
               136 อย่างที่ทรงเว้นขาด ด้วยทรงอธิบายว่า นักบวชที่บิณฑบาตอาหารจากผู้คนแล้ว ยังหาเลี้ยงชีด้วย

               เดรัจฉานวิชาชีพ จะเป็นสิ่งที่ไม่ทรงปฏิบัติ จึงท าให้พระองค์ได้รับยกย่องที่ปุถุชนทั้งหลายกล่าวถึง
               พระองค์ในทางยกย่อง




               รายละเอียดในการศึกษาพระไตรปิฎกฉบับแปล

                         จากตัวอย่างการแปลค าต่อค าจากภาษาบาลีเป็นภาษาอังกฤษ โดยมีการแปลเป็นภาษาไทย

               ในภาคผนวกที่แนบ ก็ด้วยเจตนารมณ์ของขณะผู้แปลที่ต้องการจะให้เกิดความเข้าใจอนดี ใน
                                                                                            ั
               การศึกษาพระไตรปิฎกและหลักธรรมทั้งหลายที่พระพทธเจ้าได้ทรงตรัสเทศนาไว้เมื่อ  2500  กว่าปี
                                                            ุ
               มาแล้วในอดีต เป็นสัจธรรม ถูกต้องกับความจริงและสถานการณ์ทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าสถานการณ์จะ
               เปลี่ยนไปอย่างไรก็ตาม และการก าหนดเป้าหมายที่หวังให้คนไทยและชาวโลก ได้มีความเข้าใจในแต่

               ละค า ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ การแปลศัพท์ค าต่อค าหรือศัพท์ต่อศัพท์ ซึ่งเมื่อเข้าใจความหมายของ

               ศัพท์แต่ละค า โดยจะย่นระยะเวลามนการค้นหาความหมาย ทีละค าในปทานุกรม นอกจากนี้ยังจะ
               เป็นการกระตุ้นให้ผู้ศึกษามีความสนใจในการศึกษาโครงสร้างของภาษาบาลีต่อไป

                         เนื่องจากภาษาบาลีที่พระพทธองค์ทรงใช้ในการเทศนา เป็นภาษาที่มีความแตกต่าง
                                                 ุ
               โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากโครงสร้างทางภาษาที่ใช้กันอยู่ทั่วไป เช่นภาษาองกฤษ ซึ่งถึงแม้จะเป็นภาษาใน
                                                                         ั
               ตระกูลเดียวกัน ภาษาบาลีซึ่งมีโครงสร้างใกล้เคียงกับ Old  English  แต่ก็เป็นโครงสร้างภาษาที่

                                          ั
               เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงกับภาษาองกฤษปัจจุบัน และหากจะแปลค าต่อค าเป็นภาไทยด้วยแล้ว ก็จะท า
               ให้เห็นความแตกต่างทางโครงสร้างภาษาอย่างชัดเจน เนื่องจากภาษาบาลีและภาษาไทยเป็นภาษาต่าง

               ตระกูลกัน

                         อย่างไรก็ตามคณะผู้ด าเนินโครงการ ได้มีความพยายามอย่างยิ่งในการเลือกใช้ค าที่จะน ามา
               แปล ด้วยวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ พยายามแปลให้เป็นที่เข้าใจส าหรับค าปัจจุบัน โดยการเลือกค า

                                                                      ื่
               แปลที่อาจจะต้องพิจารณาบริบท (context)  ที่ใช้ในภาษาบาลี เพอเลือกค าแปลที่ให้เป็นที่เข้าใจ เช่น
   23   24   25   26   27   28   29   30   31   32   33