Page 26 - Psychology
P. 26

หน้ า  | 23

                           2.  ประสบการณ์ในวัยเด็ก (Childhood Experience) หมายถึง ประสบการณ์ที่เด็กได้รับจาก
               การอบรมเลี้ยงดูในระยะแรกของชีวิต ตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 5 ปี ซึ่งแอดเลอร์ได้ให้ความสนใจประสบการณ์

               เหล่านี้เป็นกรณีพิเศษ ทั้งนี้เพราะเขาเชื่อว่าเป็นปัจจัยที่มีผลต่อบุคลิกภาพของบุคคลเป็นอย่างยิ่ง ประสบการณ์
               ที่เด็กได้รับดังกล่าวแบ่งเป็น 3 ลักษณะคือ
                              ก. เด็กที่ถูกเลี้ยงดูแบบตามใจ (spoiled child) แอดเลอร์เห็นว่าการตามใจลูกหรือทะนุ
               ถนอมลูกจนเกินไปจะทําให้เด็กเสียคน ไม่สามารถจะพัฒนาตนเองในการอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นได้ ขาดเหตุผล

               เอาแต่ใจตนเอง เห็นแก่ตัว เรียกร้องสิ่งที่ตนต้องการจากสังคมเพียงฝ่ายเดียว โดยไม่เคยคิดจะตอบแทนผู้อื่นหรือ
               สังคมเลย
                              ข. เด็กที่ถูกทอดทิ้ง (neglected child) หมายถึง เด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูแบบปล่อยปละ
               ละเลย ขาดความเอาใจใส่ เนื่องจากพ่อแม่เสียชีวิต แยกทางกัน หรือเกิดจาปัญหาทางเศรษฐกิจ รวมไปถึง

               ถูกทอดทิ้งเพราะพ่อแม่เกลียดชังไม่ต้องการลูก เด็กที่อยู่ในสภาพเช่นนี้จะรู้สึกเกลียดชังพ่อแม่ตนเองและคน
               รอบข้าง ทําให้มีบุคลิกเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย เห็นทุกคนเป็นศัตรูกับตน เป็นพวกต่อต้านและแก้แค้นสังคม
               ชอบข่มขู่ วางอํานาจ ปรับตัวเข้ากับผู้อื่นได้ยาก
                              ค. เด็กที่ได้รับความรักและความอบอุ่นอย่างสมบูรณ์ (warmed child) หรือเลี้ยงดูแบบใช้

               เหตุผลกับลูก เด็กได้รับประสบการณ์ที่ดีเช่นนี้จะทําให้เป็นคนที่มีเหตุผล กล้าคิด กล้าพูด กล้าทํา มีจิตใจและ
               ความคิดเป็นประชาธิปไตย มองโลกในแง่ดี ร่าเริง แจ่มใส และเอาใจใส่ผู้อื่น  ซึ่งเป็นบุคลิกภาพที่พึงประสงค์
               ของสังคม

                           3.  ความรู้สึกว่ามีปมด้อยและสร้างปมเด่นชดเชย (Inferiority Feeling and Superiority)
               แอดเลอร์เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีปมด้อย (inferiority complex) ซึ่งในระยะแรกจากการสังเกตผู้ป่วยที่มารับการ
               รักษาในคลินิกของเขา พบว่าในวัยเด็กคนไข้เหล่านี้มักมีความบกพร่องทางร่างกายเป็นส่วนใหญ่ แต่ต่อมาเขา
               จึงพบว่านอกจากสภาพร่างกายที่เป็นปมด้อยแล้ว ยังเป็นผลมาจากประสบการณ์ต่าง ๆ ที่บุคคลได้รับจาก
               สังคมดังที่ได้กล่าวมาแล้วอีกด้วย ปัจจัยเหล่านี้จะกลายเป็นปมด้อยของแต่ละคนก็ต่อเมื่อบุคคลนั้นเกิด

               การปฏิสัมพันธ์ (interaction) กับบุคคลอื่นแล้วมีการเปรียบเทียบซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง หน้าตา
               สภาพทางร่างกาย ความสามารถ สถานภาพทางสังคม ฐานะความเป็นอยู่ การยอมรับ ฯลฯ ซึ่งปกติโดยทั่วไป
               แล้วแต่ละคนมักจะมองเห็นว่าสิ่งที่ตนเองมีอยู่นั้นไม่สมบูรณ์ สู้คนอื่นไม่ได้  หรือเป็นปมด้อยเสมอ และ

               ความรู้สึกว่าเป็นปมด้อยนี้เองทําให้เกิดเป็นแรงผลักดันในการที่จะดิ้นรนเพื่อเอาชนะปมด้อยของตน
               โดยการสร้างปมเด่น (superiority complex) ขึ้นมา เพื่อทําให้เกิดรู้สึกมั่นใจ ภูมิใจ พึงพอใจ และเป็นที่
               ยอมรับของบุคคลทั้งหลายในสังคม ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ได้แก่ กรณีของแฟรงคลิน ดี. รูสเวลต์ (Franklin D.
               Roosvelt) ประธานาธิบดีหลายสมัยของสหรัฐอเมริกาที่ได้รับความนิยมจากประชาชนสูงสุดท่านหนึ่ง

               ในวัยเด็กเขาเป็นคนขี้โรค อ่อนแอ หรือดีโมสทินิส (Demosthenes) เป็นนักพูดผู้ยิ่งใหญ่ของโลกแต่เป็นเด็กพูด
               ติดอ่างมาก่อน เป็นต้น ด้วยเหตุนี้แอดเลอร์จึงเห็นว่าความรู้สึกถึงการมีปมด้อยนั้นจึงเป็นเรื่องปกติของบุคคล
               ทั้งหลายที่จะช่วยในการพัฒนาบุคคลและสังคม ถ้าบุคคลเหล่านั้นจะใช้พลังงานจากปมด้อยในการแสวงหา
               วิธีการเพื่อสร้างปมเด่นในลักษณะสร้างสรรค์และเป็นที่ยอมรับของสังคม เช่น เด็กที่รู้ตัวว่าเรียนไม่เก่งเพราะมี

               ระดับสติปัญญาไม่สูงจึงหันไปสร้างปมเด่นด้วยการฝึกฝนด้านกีฬาจนได้เป็นตัวแทนทีมชาติ เป็นต้น แต่ว่า
               เมื่อใดที่บุคคลแสวงหาปมเด่นโดยใช้พลังจากปมด้อยไปในทางที่ผิดและไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม เช่น มีฐานะ
               ยากจนจึงหันไปค้ายาเสพติดจนร่ํารวย ถ้าทําเช่นนี้นอกจากจะเป็นการทําลายตนเองแล้ว ยังสร้างปัญหาให้
               สังคมอีกด้วย
   21   22   23   24   25   26   27   28   29   30   31