Page 16 - เอกสารการเรียนบทที่-2
P. 16

ความเป็นพลเมือง






               การปกครอง  แบบอนาธิปไตย (anarchism) น าไปสู่ภาวะยุ่งเหยิงและไร้ระเบียบ ไม่ค านึงถึง
               ความถูกต้อง  ในทางตรงกันข้ามหากการปกครองใดยึดถือเพียงแต่คนกลุ่มน้อยให้เป็นผู้ขับเคลื่อน

               และก าหนดเจตจ านงค์ของรัฐ เช่นนี้ย่อมมิใช้ประชาธิปไตยแต่เป็น “คณาธิปไตย” (oligarchy) หรือ

               อาจเรียก  ได้ว่าเป็นการปกครองแบบเผด็จการนั่นเอง
                               (ข)  อ ำนำจอธิปไตยเป็นของประชำชน

                                   “อ านาจอธิปไตย” เป็นอ านาจที่มีลักษณะสูงสุดในการแสดงออกซึ่งเจตจ านง

               ของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นกิจการภายในประเทศ หรือการมีความสัมพันธ์ทางกฎหมายต่อรัฐภายนอก

               ประเทศ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่ผ่านมาได้รับรองว่าอ านาจอธิปไตยเป็นของปวงชน
               ชาวไทย ค าว่า “ปวงชน” ในที่นี้หมายรวมทั้งเสียงข้างมากและเสียงข้างน้อยด้วย ดังนั้น อ านาจ

               สูงสุดในการปกครองประเทศจึงเป็นของประชาชนทุกคน ในอันจะสามารถก าหนดทิศทางและเจตจ านง

               ของรัฐได้โดยผ่านระบบผู้แทน ซึ่งยอมรับว่ามนุษย์เป็นผู้มีเหตุผล (Reason  Man)  ตามแนวความคิด

               ของนักปรัชญาที่มีแนวคิดพื้นฐานมาจากลัทธิปัจเจกชนนิยม(Individualism) ที่ยอมรับในความดี
               ของมนุษย์ ยอมรับว่ามนุษย์แต่ละคนมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ (Human  dignity)  อันสามารถจะ

               ก าหนดชะตากรรมของตนเองได้

                                   การปกครองใดที่อ านาจสูงสุดมิได้เป็นของประชาชนย่อมมิใช่การปกครอง

               ในระบอบประชาธิปไตย ค าว่า “ประชาธิปไตย” มาจาก “ประชา” และ “อธิปไตย” ย่อมแสดงออก

               อยู่ในทีแล้วว่าการปกครองในระบอบนี้อ านาจสูงสุดเป็นของประชาชน ในขณะที่การปกครองใน
               ระบอบเผด็จการ อ านาจสูงสุดในการปกครอง การก าหนดเจตจ านงค์ของรัฐจะอยู่ที่บุคคลหรือ

               คณะบุคคลใดบุคคลหนึ่ง

                               (ค)  กำรมีพรรคกำรเมืองหลำยพรรค
                                   หลักประชาธิปไตยไม่อาจจะสถาปนาได้เลยหากปราศจากเสรีภาพใน

               การก่อตั้งทางการเมืองของประชาชน รัฐที่ไม่ยอมให้มีพรรคการเมืองมากกว่าหนึ่งพรรค จะท าให้

               ประชาชนอยู่ในลักษณะจ าต้องยอมรับนโยบายของพรรคการเมืองนั้น ๆ ทั้งที่จริงแล้วอาจไม่เป็นสิ่ง

               ที่ตนเองต้องการ หากแต่ไม่มีพรรคอื่นใดที่จะเป็นตัวเลือกได้อีก ซึ่งตัวอย่างระบบพรรคการเมือง

               เดียวคือ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนเป็นต้น นอกจากนี้ มีข้อสังเกตว่า แม้จะอนุญาตให้
               มีพรรคการเมืองมากกว่าหนึ่งพรรค หากแต่ฝ่ายรัฐบาลหรือผู้มีอ านาจท าการปรามปรามหรือ

               ขัดขวางมิยอมให้พรรคการเมืองเสียงข้างน้อยนั้นสามารถด าเนินการได้ ย่อมมิต่างอะไรกับการ

               มีพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวเช่นกัน





               36
   11   12   13   14   15   16   17   18   19   20   21